Drawer trigger

คำปราศรัยของเลขาธิการฮิซบุลลอฮ์

นัศรุลลอฮ์ : เราจะไม่ยืนก้มหัวต่อแผนการทำลายซีเรีย/อิสราเอลและกลุ่มตักฟีรีคือสองภัยคุกคามสำคัญในภูมิภาค เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์กล่าวว่า : อิสราเอลและกลุ่มตักฟีรีคือสองภัยคุกคามสำคัญในภูมิภาค และพร้อมกับประกาศถึงสัญญาแห่งชัยชนะในซีเรีย ท่านได้ประกาศว่ากลุ่มพลังต้านทานเพื่ออิสลาม (มุกอวะมะฮ์) จะไม่นิ่งเฉยต่อแผนคบคิดทำลายซีเรีย ตามการรายงานของสำนักข่าวฟาร์ส : ซัยยิด “ฮะซัน นัศรุลลอฮ์” เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอน คำแถลงของท่านในพิธีวันเฉลิมฉลองแห่งชาติ “การต่อต้านและการปลดปล่อย” พื้นที่ภาคใต้ของเลบานอนที่จัดขึ้นในเมืองมัชฆอเราะฮ์ พร้อมกับกล่าวแสดงความยินดีต่อประชาชนชาวเลบานอนเนื่องในโอกาสวันครบรอบปีการเฉลิมฉลองแห่งชาติ “การต่อต้านและการปลดปล่อย” พื้นที่ภาคใต้ของประเทศนี้ ท่านกล่าวว่า “ในช่วงเวลานี้ เรากำลังรำลึกถึงบรรดาผู้สละชีพ บรรดาชะฮีด และครอบครัวของพวกเขา รวมทั้งผู้ที่ได้รับบาดเจ็บพิการ บรรดาเชลยศึกและผู้ที่ได้รับอิสระออกมาจากเรือนจำต่างๆ รวมทั้งประชาชนของเราที่ได้ช่วยเหลือและยืนหยัดต่อสู้อยู่ในแผ่นดินของตน เรากำลังร่วมรำลึกถึงบรรดาผู้เสียสละชีพทั้งมวลจากกองทัพ ประชาชนผู้ยืนหยัดต้านทาน (ศัตรู) ชาวเลบานอน ชาวปาเลสไตน์และชาวซีเรียที่ได้เป็นชะฮีดในการต่อสู้นี้ รวมทั้งท่านซัยยิดอับบาส มุซาวี ท่านเชครอฆิบ ฮัรบ์ ท่านฮาจญ์อิมาด มุฆนียะฮ์และบรรดาชะฮีดทั้งมวล” เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์ยังได้กล่าวยกย่องเชิดชูและขอบคุณเป็นพิเศษต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ตะวันตก ซึ่งพิธีการเฉลิมฉลองครั้งนี้จัดขึ้นในเขตพื้นที่ของพวกเขา เพื่อรำลึกถึงบรรดาชะฮีดและประชาชนของเลบานอน พวกเขาได้พลีชะฮีดเป็นจำนวนมากซึ่งมีบทบาทสำคัญในการยืนหยัดต้านทานและชัยชนะของมัน การปลดปล่อยภาคใต้ของเลบานอน คือส่วนหนึ่งจาก “อัยยามุลลอฮ์” (วันแห่งพระผู้เป็นเจ้า) ซัยยิดนัศรุลลอฮ์ถือว่าวันแห่งการปลดปล่อยภาคใต้ของเลบานอนนั้น คือหนึ่งในอัยยามุลลอฮ์ (วันแห่งพระผู้เป็นเจ้า) พร้อมกับกล่าวว่า “ในวันนั้น ความเมตตา ความจำเริญต่างๆ และการสนับสนุนช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้าได้ถูกสำแดงแก่ประชาชนผู้ยืนหยัดต้านทานของเลบานอน และความโกรธกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ถูกทำให้เกิดขึ้นกับบรรดาผู้ยึดครองดินแดนแล้ว ดังนั้นชัยชนะของเราและความปราชัยนี้ของเหล่าศัตรู คือหนึ่งจากวันทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า” ท่านได้กล่าวต่อไปว่า “วันทั้งหลายเหล่านี้จะยังคงอยู่ในความทรงจำของพวกเรา และถูกถ่ายทอดต่อไปจากชนรุ่นหนึ่งสู่ชนรุ่นต่างๆ ทั้งนี้เนื่องจากว่ามันคือประสบการณ์ของชาติที่ลุ่มลึกและเป็นการต่อสู้เสียสละที่อันยิ่งใหญ่ที่จะเปิดทางไปสู่อนาคตอันมีเกียรติ” เยามุ้นนักบะฮ์ (วันแห่งความทุกข์ยาก) ในปี 48 เป็นปีแห่งโศกนาฏกรรมสำหรับชาวอาหรับและมุสลิมทั้งมวล ท่านกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่หลงลืมจากวันที่น่าเศร้าโศกทั้งหลาย เช่นเดียวกับวันแห่งความทุกข์ยาก (อัยยามุนนักบะฮ์) และความปราชัย ในประวัติศาสตร์ของเรามีทั้งวันแห่งความทุกข์ยาก ความปราชัยและวันแห่งชัยชนะ ความทุกข์ยากในปี 1948 ไม่ใช่เป็นเพียงความทุกข์ยากของปาเลสไตน์และของประชาชนในประเทศนี้เพียงเท่านั้น แต่ทว่ามันคือความทุกข์ยาก (นักบะฮ์) ของชาวอาหรับและมุสลิมทั้งมวล และของประชาชนทุกคนในภูมิภาคนี้” เรากำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่ร้ายแรงสองประการ ซัยยิดนัศรุลลอฮ์ชี้ให้เห็นว่า “คนบางกลุ่มต้องการให้เราหลงลืมจากวันเหล่านี้ เนื่องจากพวกเขาต้องการให้เราอยู่อย่างไม่มีประวัติศาสตร์และไร้ซึ่งความทรงจำใดๆ ในขณะที่ในปีนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามและภยันตรายต่างๆ เราก็จะเฉลิมฉลองวันนี้ ขณะนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ร้ายแรงสองประการ ซึ่งข้าพเจ้าจะขอพูดเกี่ยวกับมัน ภัยคุกคามประการแรกคือภัยคุกคามซึ่งยังคงดำรงอยู่ นับตั้งแต่ช่วงเวลาของ “เยามุ้นนักบะฮ์” (ในปี 48) นั่นคือภัยคุกคามของอิสราเอลและความหื่นกระหายต่างๆ ของระบอบการปกครองนี้ ส่วนภัยคุกคามประการที่สองนั้นเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ต่างๆ ของซีเรีย กล่าวคือ ประเทศเพื่อนบ้านของเราที่มีพรมแดนติดกับเรา ซึ่งกลุ่มแนวคิดตักฟีรี (แนวคิดที่ถือว่าชาวมุสลิมที่มีความเชื่อไม่เหมือนกับตนคือผู้ปฏิเสธอิสลาม) ได้ลงสู่สนามแล้วในที่แห่งนั้น” อิสราเอลได้เริ่มแผนการของตนจากปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองด้วยความมั่นใจอย่างสมบูรณ์ ซัยยิดนัศรุลลอฮ์ได้กล่าวว่า “ในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามแรก หมายถึงอิสราเอลนั้น จำเป็นต้องกล่าวว่า ระบอบการปกครองนี้ได้เริ่มแผนการของตนเองจากปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองด้วยความมั่นใจอย่างสมบูรณ์ แม้จะต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากประชาคมโลกก็ตาม ระบอบการปกครองนี้ได้เรียนรู้มาจากช่วงสงครามทัมมูส (Tammuz) ได้เตรียมพร้อมตนเองและตรวจสอบทบทวนแผนสงครามต่างๆ และในแนวรบพวกเขาได้จัดให้มีการซ้อมรบต่างๆ ขึ้น ระบอบการปกครองนี้ในทุกๆ ปีจะให้มีการจัดซ้อมรบขึ้นในแนวรบภายในประเทศ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่นายกรัฐมนตรีครอบคลุมถึงตำรวจและทหารในกองทัพและระบบการป้องกันเมือง ในวันพรุ่งนี้พวกเขาก็จะจัดการซ้อมรบในแนวรบของตนเอง ซึ่งพวกเขาเรียกมันว่า แนวรบที่เหนียวแน่น” อิสราเอลจะขู่ทำสงครามกับเราทุกวัน เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์เลบานอนได้กล่าวต่อไปว่า “พวกเขาเชื่อว่า พวกเขามีแนวรบด้านในที่เหนียวแน่นและพวกเขาพร้อมที่จะทำสงครามครอบคลุมทุกด้านของตน พวกเขามีกระทรวงพิเศษที่มีชื่อว่ากระทรวงแนวรบด้านใน ซึ่งจะทำหน้าที่บริหารจัดการทุกๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกช่วงเวลา อิสราเอลจะขู่ทำสงครามกับเราทุกวัน และประจำการกองกำลังทหารของตนไว้ตามแนวชายแดนต่างๆ พวกเขาจะรุกรานซีเรียและจะยิงขีปนาวุธต่างๆ เข้าไป อิสราเอลมาตั้งแต่ปี 2006 และเติมเต็มช่องว่างต่างๆ ของตนไว้แล้ว แต่ในเลบานอนเราได้กระทำสิ่งใดไปบ้าง? หน่วยงานหลักทั้งหมดของรัฐบาลได้คิดที่จะการตัดสินใจใดๆ บ้างแล้วสำหรับการจัดการกับการเผชิญหน้าที่อาจจะเกิดขึ้นกับอิสราเอล? ในกรณีเช่นนี้ประชาชนควรจะทำอย่างไร? พวกเขาควรจะต้องเรียกร้องจากรัฐบาลของตนหรือไม่ว่าให้เตรียมพร้อม จัดการความพร้อมและรับรับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง? เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งของประวัติศาสตร์ เราไม่มีเวลาสำหรับการพูดในสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่เราจะเชิดหน้าขึ้นและรับผิดชอบหน้าที่ต่างๆ ของตน” ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ ได้กล่าวต่อไปว่า “พวกเราทุกคนต้องการกองทัพที่แข็งแกร่งที่จะปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนและมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน แต่ทว่าเพื่อที่จะติดอาวุธให้แก่กองทัพนี้และการจัดเตรียมปัจจัยจำเป็นต่างๆ ทางด้านอาวุธของกองทัพ การเสริมสร้างเกียรติศักดิ์และความน่าเกรงขามของกองทัพต่อศัตรูนั้น เราได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว?” อเมริกาไม่ต้องการให้มีการติดอาวุธกองทัพฝ่ายต่อต้านต่ออิสราเอล คำปราศรัยของเลขาธิการฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอน ที่ออกอากาศโดยตรงผ่านทางสถานีโทรทัศน์อัลมะนาร (Al-Manar) ท่านได้กล่าวว่า “นับจากปี 2005 จวบจนถึงขณะนี้เรายังไม่เคยได้รับแม้เพียงคำตอบเดียวเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะมีก็แต่เพียงคำตอบต่างๆ ที่เป็นข้อแก้ตัวและข้ออ้างเพียงเท่านั้น เนื่องจากอเมริกันจะยับยั้ง (วีโต้) การจัดตั้งกองทัพเช่นนี้ ใช่แล้ว! อเมริกาไม่ต้องการให้กองทัพอาหรับใดๆ ในภูมิภาคที่ต้องการยืนหยัดต่อต้านอิสราเอลได้รับการติดอาวุธหรือยุทโธปกรณ์ต่างๆ” เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอน ได้กล่าวเสริมว่า “ในขณะที่การขายอาวุธให้แก่ซีเรียนั้นถูกห้าม แต่อาวุธจำนวนมากมายถูกขายให้กับอีกหลายๆ ประเทศ เนื่องจากว่าประเทศเหล่านั้นได้ให้หลักประกันต่างๆ ต่ออเมริกาว่าจะไม่ยิงกระสุนแม้เพียงนัดเดียวไปยังอิสราเอล แต่พวกเขากลัวที่จะติดอาวุธให้กับกองทัพของเลบานอน เนื่องจากกลัวว่ากองทัพนี้จะทำสงครามกับอิสราเอล” รัฐบาลไซออนิสต์ยังคงติดอาวุธให้กับผู้ตั้งถิ่นฐานในหมู่บ้านตามแนวชายแดนต่างๆ ท่านซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ได้กล่าวต่อไปว่า “ในส่วนของพลเรือนและที่ไม่ใช่ทหารของรัฐบาลเลบานอน นับจากปี 1948 จวบจนถึงขณะนี้ได้กระทำอะไรไปบ้างแล้ว? ใครคือผู้รับผิดชอบดูแลแนวรบด้านในของเลบานอน? ในแนวรบนี้ยังไม่มีการเตรียมความพร้อมใดๆ เลย ในเลบานอนไม่มีข่าวคราวใดๆ เกี่ยวกับที่หลบภัยหรือห้องพักต่างๆ ที่ปลอดภัย เราจะไม่เรียกร้องจากรัฐบาลให้รับผิดชอบในการเตรียมความพร้อมในส่วนของพลเรือนและส่วนที่ไม่ใช่ทหารเลยกระนั้นหรือ? แน่นอน ในด้านนี้และในด้านของโครงสร้างพื้นฐาน ทางด้านกลุ่มต้านทาน (มุกอวะมะฮ์) ได้มีความพยายามและมีการดำเนินการต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว” ท่านได้กล่าวเสริมว่า “ในขณะที่รัฐบาลไซออนิสต์ยังคงติดอาวุธให้กับผู้ตั้งถิ่นฐานของตนในหมู่บ้านต่างๆ ตามเขตแนวชายแดนนั้น เรากลับถือว่าอาวุธที่มีอยู่ในมือของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ของเราในเขตพื้นที่ตามแนวชายแดนนั้นผิดกฎหมาย” วันนี้เลบานอนมีศักยภาพพอที่จะสร้างความพ่ายแพ้แก่อิสราเอลได้ ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ กล่าวว่า “เมื่อใดก็ตามที่พบเห็นว่ามีการยืนหยัดต้านทานการรุกรานใดๆ ที่เกิดขึ้นในเลบานอน ตัวอย่างเช่น มีการตอบโต้ในที่ต่างๆ ต่อการรุกรานของอิสราเอลด้วยชื่อและสัญลักษณ์หนึ่งๆ จากประชาชนชาวเลบานอน นั่นก็คือ กลุ่มต้านทาน (มุกอวะมะฮ์) จุดประสงค์ของข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่เพียงกลุ่มต้านทาน (มุกอวะมะฮ์) ของฮิซบุลลอฮ์เท่านั้น ในเลบานอนนั้นมีความพยายามและมีการดำเนินการต่างๆ มากมายเกิดขึ้นจากกลุ่ม กองกำลังและพรรคต่างๆ จำนวนมาก วันนี้เลบานอนมีศักยภาพพอที่จะยังความพ่ายแพ้ให้กับอิสราเอลได้ และขับไล่อิสราเอลออกไปจากเบรุต จากอัลญะบัล ศ็อยดา ซูร รอชิยาและหลังจากนั้นก็ขับไล่พวกเขาออกจากเขตพื้นที่ชายแดน จนกระกระทั้งได้เผชิญหน้ากับอิสราเอลในสงครามเดือนกรกฎาคม แม้แต่หลังจากนั้นก็ยังคงดำเนินการและปฏิบัติการต่างๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง ชาวเลบานอนนั้นไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านี้ แต่สิ่งที่เรามีอยู่ในมือนี่เอง ที่คนจำนวนไม่น้อยในเลบานอนก็ยังพยายามที่จะกำจัดสิ่งนี้ให้หมดไป” เราทุกคนต้องการจัดตั้งรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ แข็งแกร่งและมีความยุติธรรมเพื่อการปกป้องเลบานอน เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอน ได้ย้ำว่า “ทุกๆ ประเด็นที่กำลงถูกหยิบยกขึ้นมานั้น ไม่สามารถที่จะปกป้องประเทศได้ หรือไม่สามารถที่จะจัดการกับศัตรูได้ สถานการณ์ปัจจุบันนี้ไม่ใช่สถานการณ์ของการยับยั้งป้องกัน ในขณะที่ถ้าเราตัดสินใจและยอมรับที่จะขจัดกลุ่มกองกำลังต้านทาน (มุกอวะมะฮ์) ออกไปจากเบื้องหน้า ในกรณีเช่นนี้นั่นหมายความว่า เป็นยุคสิ้นสุดของกลุ่มกองกำลังต้านทาน (มุกอวะมะฮ์) เนื่องจากเรามีรัฐบาลที่ไม่สามารถแม้จะปกป้องซากศพเพียงศพเดียวที่อยู่ในซ็อยดา (Sidon) ได้ และไม่มีความสามารถที่จะยุติความขัดแย้งต่างๆ ในตริโปลีได้ ทำนองเดียวกันนี้ ไม่มีความสามารถที่จะตกลงกันบนประเด็นกฎหมายของการเลือกตั้งใหม่ได้ ดังนั้นใครหรือที่จะสามารถกล่าวได้ว่า รัฐบาลที่มีลักษณะเช่นนี้จะมีความสามารถในการที่จะตัดสินใจยับยั้งป้องกันได้ ในขณะที่พวกเราทุกคนมีความต้องการที่จะจัดตั้งรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ แข็งแกร่งและมีความยุติธรรมเพื่อปกป้องเลบานอน” ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ กล่าวเสริมว่า “วันนี้เราขอกล่าวซ้ำคำเรียกร้องของเราอีกครั้งหนึ่งจากเจ้าหน้าที่และผู้มีตำแหน่งของประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากประชาชนได้รับรู้ถึงภัยอันตรายที่กำลังคุกคามพวกเขาแล้ว และอิสราเอลได้เตรียมพร้อมตนเองและกำลังหาทางสร้างการเปลี่ยนแปลงและสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น ข้าพเจ้าเองทราบดีว่าในเส้นทางนี้พวกเขากำลังต้องการจะกระทำอะไร?” ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ กล่าวว่า “เราจะยังคงดำเนินความพยายามต่างๆ ของเราต่อไป การกดดันและการสร้างความหวาดกลัวต่างๆ ไม่อาจส่งผลกระทบใดๆ ในความพยายามเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน เป็นเวลายาวนานแล้วที่เราถูกกำหนดให้เข้าอยู่ในลีสต์รายชื่อ "องค์กรก่อการร้าย" ท่านได้เสริมว่า “เราไม่เห็นด้วยกับสุญญากาศทางการเมือง แม้แต่จะด้วยกับกฎหมายข้อที่ 60 และผลของมันก็คือ เรามีสองตัวเลือกอยู่เบื้องหน้าของเรา คือจะมีการเลือกตั้งบนพื้นฐานของกฎหมายข้อที่ 60 หรือจะขยายเวลาออกไป และการที่จะรอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเกี่ยวกับการเห็นพ้องบนประเด็นของกฎหมายใหม่ แต่จงมั่นใจเถิดว่า เราไม่เห็นด้วยกับสุญญากาศทางการเมือง และเราขอเรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้หลีกเลี่ยงจากทุกรูปแบบของความขัดแย้งภายใน” ท่านได้ย้ำว่า “ประเด็นของซีเรียและเหตุการณ์ต่างๆ ของมันนั้นคืออีกเรื่องหนึ่ง เราจะทำสงครามในซีเรีย และพวกท่านก็เช่นกัน จะต้องทำสงคราม ณ ที่นั้น ด้วยเหตุนี้เราจำเป็นจะต้องรักษาเลบานอนให้ออกห่างจากสงคราม และเราจงไปทำสงครามที่นั่น” ซัยยิดนัศรุลลอฮ์กล่าวว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในซ็อยดา (ไซดอน) นั้นเป็นเหตุการณ์ที่น่าขมขื่นอย่างแท้จริง เรามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ และสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในตริโปลีก็เช่นเดียวกัน จำเป็นที่จะต้องถูกหยุดยั้งไม่ว่าจะด้วยราคาแพงสักเท่าใดก็ตาม ผู้ใดต้องการที่จะช่วยเหลือระบอบนี้ เขาจำเป็นจะต้องไปยังซีเรีย และใครก็ตามที่ต้องการจะช่วยเหลือฝ่ายต่อต้าน เขาจำเป็นจะต้องไปยังซีเรียเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้พวกท่านจะต้องวางมือจากตริโปลี” สงครามในซีเรียนั้นไม่มีขอบฟ้าใดๆ ทั้งสิ้น ท่านได้ย้ำว่า “สงครามในซีเรียนั้นไม่มีขอบฟ้าใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากความเจ็บปวดและความทุกข์ระทม ข้าพเจ้าขอเรียกร้องว่าเราทุกคนจงบรรลุข้อตกลงในเรื่องนี้ โดยที่รัฐบาลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพ จะต้องเป็นหลักประกันสำหรับสันติภาพภายในของเรา” เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์เลบานอน ยังได้กล่าวอย่างชัดเจนอีกว่า “เกี่ยวกับกรณีที่สองก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในซีเรียนั้นมีความสำคัญและเป็นตัวชี้วัดชะตากรรมสำหรับเลบานอนอย่างแท้จริง เรามีความกล้าหาญพอทั้งด้านคำพูดและการกระทำ ดังนั้นในวันนี้ในช่วงวิกฤติสำคัญแห่งประวัติศาสตร์เราจำเป็นต้องประกาศก้องในสิ่งที่ควรจะเป็น” ซัยยิดนัศรุลลอฮ์กล่าวว่า “เรากล่าวไปตั้งแต่แรกแล้วว่า ความต้องการต่างๆ ที่ชอบธรรมและเป็นสิทธิของประชาชนนั้นมีอยู่ และวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการปฏิรูปต่างๆ นั้นจะต้องอาศัยวิธีการของการเจรจา และแต่ละคนจะต้องไม่เล็งกระบอกปืนหรือลูกปืนไปยังคนอื่นใดทั้งสิ้น เราเองก็จะเป็นเช่นนั้น เราทราบดีว่าซีเรียนั้นมีมุมมองอย่างไรต่อกองกำลังต้านทาน (มุกอวะมะฮ์) เรามีการเจรจากันแล้วกับ "บัชชาร อัล-อะซัด" ประธานาธิบดีของซีเรียและบุคคลสำคัญต่างๆ ของฝ่ายค้านของรัฐบาลซีเรีย เพื่อที่จะค้นหาแนวทางแก้ปัญหาทางการเมือง และบัชชาร อัล-อะซัดเห็นด้วยในเรื่องนี้ ส่วนฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น” สงครามโลกต่อต้านซีเรียได้เริ่มต้นขึ้น/แกนของอเมริกาคือการปกป้องอิสราเอล ซัยยิดนัศรุลลอฮ์ยังกล่าวอีกว่า “บรรดาผู้นำของซีเรียเห็นด้วยตลอดเวลากับการเข้าร่วมบนโต๊ะเจรจาและการปฏิรูปต่างๆ แต่ฝ่ายต่อต้านต่างหากที่คัดค้านมาตั้งแต่เริ่มต้น โดยมีความหวังว่าระบอบการปกครองของซีเรียจะต้องล่มสลาย พวกเขาคาดการณ์ว่าประเทศต่างๆ จำนวนมากจะอยู่เคียงข้างฝ่ายต่อต้านเหล่านี้และพวกเขาจะต้องได้รับชัยชนะ” ท่านกล่าวว่า “แต่เหตุการณ์ต่างๆ พลิกผันไปอย่างรวดเร็ว และเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า แกนที่อเมริกาได้จัดตั้งขึ้น คำพูดแรกและคำพูดสุดท้ายที่อเมริกาได้พูดออกไป และทุกคนต่างก็คอยรับใช้อเมริกา และแกนดังกล่าวนี้ก็ทำหน้าที่ปกป้องอิสราเอลโดยทางอ้อม อัลกออิดะฮ์และกลุ่มจัดตั้งแนวคิดตักฟีรีทั้งหลายก็เข้ามาสู่สนาม ปัจจัยอำนวยความสะดวกต่างๆ จากทุกประเทศของโลกก็ถูกประเคนให้แก่พวกเขา สงครามโลกต่อต้านซีเรียได้เริ่มต้นขึ้น นักต่อสู้จำนวนหลายพันคน บรรดามิตรสหายซีเรียในอัมมาน (ของจอร์แดน) ไม่ทำให้เกิดความทุกข์ร้อนใดๆ แต่ทว่านักต่อสู้ของฮิซบุลลอฮ์เพียงแค่หยิบมือเดียวทำให้พวกเขาไม่พอใจ” ประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ไม่อาจอดทนกับการคงอยู่ของระบอบการปกครองของซีเรีย ซัยยิดนัศรุลลอฮ์ได้เสริมว่า “แกนตรงข้ามยืนกรานที่จะทำสงครามจนถึงวินาทีสุดท้าย และมีคำพูดหนึ่งเกี่ยวกับการเจรจาได้เกิดขึ้น เป็นข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ปัญหาต่างๆ ที่เหมาะสมซึ่งบรรดาผู้นำของซีเรียก็ยอมรับในสิ่งนั้น และมีการนำเสนอต่อประเทศต่างๆ ในภูมิภาคแล้ว แต่ประเทศเหล่านั้นกลับคัดค้าน ทั้งนี้เนื่องจากประเทศเหล่านี้ไม่อาจอดทนกับการคงอยู่ของระบอบการปกครองของซีเรียได้” ซัยยิดนัศรุลลอฮ์ได้กล่าวว่า “ฝ่ายต่อต้านที่อยู่ในต่างประเทศนั้นมีมุมมองและมีเหตุผล พวกเขาพร้อมที่จะเจรจาและนี่ก็เป็นสิทธิของพวกเขา และบางส่วนของพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งจากหน่วยข่าวกรองต่างๆ การตัดสินใจของพวกเขาไม่ได้อยู่ในอำนาจของตนเอง แต่ทว่าพวกเขามีอำนาจครอบงำอยู่เหนือสถานการณ์ความเป็นจริงของกลุ่มต่อต้านต่างๆ ที่ติดอาวุธ ทุกคนรู้ดีว่ากลุ่มเคลื่อนไหวส่วนใหญ่นั้นเป็นกลุ่มแนวคิดตักฟีรี ทุกรูปแบบของการประนีประนอมในซีเรียนั้นพวกเขาก็จะจัดการทำลายมัน” ประเทศอาหรับบางประเทศต้องการที่จะหลุดพ้นจากระบอบการปกครองของซีเรีย ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ ได้กล่าวเสริมคำพูดของตนต่อไปว่า “ประเทศอาหรับบางประเทศต้องการที่จะหลุดพ้นจากระบอบการปกครองของซีเรียและหลุดพ้นจากกลุ่มเหล่านี้ด้วย แต่พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงประเด็นนี้ที่ว่าพวกเขาเหล่านี้ก็จะย้อนกลับมาอีก” เขากล่าวต่อไปว่า “วันนี้ปัญหาของซีเรีย ไม่ใช่ปัญหาของประชาชนที่ลุกขึ้นต่อต้านระบอบการปกครองของตน หรือไม่ใช่ปัญหาการปฏิรูปแต่อย่างใดทั้งสิ้น เนื่องจากระบอบนั้นพร้อมที่จะกระทำการปฏิรูปอยู่แล้ว ในมุมมองของเรา การมีอำนาจครอบงำของบุคคลเหล่านี้และกลุ่มต่างๆ ที่มีเหนือซีเรีย หรือเหนือจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับเลบานอนนั้น เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงต่อเลบานอนและต่อชาวเลบานอนทั้งหมด มิได้เป็นแค่ภัยคุกคามต่อฮิซบุลลอฮ์หรือชาวชีอะฮ์เพียงเท่านั้น” เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์เลบานอนได้กล่าวว่า “ถ้าหากกลุ่มคนเหล่านี้สามารถเข้าครอบงำเหนือจังหวัดตามแนวชายแดนได้ ถือได้ว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อชาวมุสลิมและชาวคริสต์ และเหตุผลของประเด็นนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในซีเรีย บรรดาผู้ที่ต่อสู้อยู่ในซีเรียนั้น พวกเขาคือผู้สืบสานองค์การรัฐอิสลามแห่งอิรัก พวกท่านลองถามชาวอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ในอิรักดูเถิดว่าองค์กรนี้ได้สร้างความทุกข์ยากใดๆ ให้กับพวกเขาบ้าง” ซีเรียคือผู้สนับสนุนและเป็นเสาหลักของกองกำลังต้านทาน (มุกอวะมะฮ์) ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ กล่าวว่า “กลุ่มแนวคิดตักฟีรีนี้มีอยู่ในอิรัก ในปากีสถานและในอัฟกานิสถาน และในอิรักชาวอะฮ์ลิซซุนนะฮ์นั้นถูกเข่นฆ่ามากกว่าหมู่ชนอื่นๆ วันนี้ตูนิเซีย ลิเบียและประเทศต่างๆ ที่จัดตั้งและส่งออกโรคร้ายนี้ พวกเขาก็ต้องทุกข์ทรมานจากมัน พวกเขาได้ให้สัญญาไว้กับเราเช่นกันว่าพวกเขาจะเข้ามาในเลบานอน กลุ่มแนวคิดที่ไม่ยอมรับการเจรจาและไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าเป็นการเจรจาและการยุติปัญหาร่วมกันนั้น ถือเป็นอันตรายยิ่ง แล้วจะสามารถจินตนาการถึงอนาคตสำหรับซีเรีย เลบานอนและปาเลสไตน์ ภายใต้การมีอยู่ของกลุ่มเหล่านี้ได้อย่างนั้นหรือ?” ซัยยิดนัศรุลลอฮ์ ได้กล่าวเสริมว่า “นับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น (ของวิกฤติ) พวกเขากล่าวว่า ขอให้ระบอบการปกครองของซีเรียถูกโค่นล้มเสียก่อน แล้วหลังจากนั้นพวกเราจะไปยังพวกท่านในเลบานอน พวกเขากำลังให้ความมั่นใจแก่อเมริกา และตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นนั่นเองที่พวกเขาได้ลักพาตัวบรรดาผู้แสวงบุญชาวเลบานอนในเมืองอะอ์ซาซ” ซัยยิดฮะซันนัศรุลลอฮ์ กล่าวว่า “ซีเรียคือผู้สนับสนุนและเป็นเสาหลักของกองกำลังต้านทาน (มุกอวะมะฮ์) และกองกำลังต้านทาน (มุกอวะมะฮ์) ไม่สามารถที่จะยืนกุมมือตัวเองโดยปล่อยให้ผู้สนับสนุนที่เป็นเสาหลักของตนเองถูกทำลายได้ เราไม่ได้เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา และคนโง่เขลาเบาปัญญานั้นก็คือคนที่คอยเฝ้ามองแผนการร้ายที่กำลังมาสู่ตนเองโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ” ซัยยิดนัศรุลลอฮ์ ได้กล่าวต่อไปอีกว่า “เราได้ดับแผนการร้ายในขณะนี้ลงด้วยเลือดของบรรดาชะฮีด (ผู้สละชีพ) นับพันคน เราไม่สามารถที่จะอยู่ในสถานการณ์อื่นได้ ดังนั้นใครก็ตามที่อยากจะไปยืนอยู่ขอบสนาม ดังนั้นเขาจงออกไปและไปอยู่ที่ขอบสนาม นับจากปี 1982 บางคนเชื่อว่าไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนสมการในภูมิภาคได้อีกแล้ว แต่ทว่าเราสามารถเปลี่ยนสมการ (พลิกสถานการณ์) ได้และเราเชื่อว่าเรากำลังอยู่ในการปกป้องเลบานอน ปาเลสไตน์และซีเรีย” หากซีเรียถูกโค่นล้ม อัลกุดส์ก็จะถูกลืม เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์เลบานอนได้กล่าวต่อไปว่า “ในกรณีที่ซีเรียถูกโค่นล้มโดยอเมริกาและกลุ่มตักฟีรีและสมุนของพวกเขาในภูมิภาค กองกำลังต้านทาน (มุกอวะมะฮ์) ก็จะถูกปิดล้อม และอิสราเอลจะเข้าสู่เลบานอนเพื่อจะดำเนินการตามเงื่อนไขต่างๆ ของเขา และเลบานอนก็จะย้อนกลับไปสู่ยุคสมัยของอิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง ในกรณีที่ซีเรียถูกโค่นล้ม อัลกุดส์ก็จะถูกลืม และประชาชนในภูมิภาคจะเข้าสู่ยุคสมัยของความทุกข์ยาก ความมืดมนและความขมขื่น ขณะนี้สงครามที่กำลังดำเนินอยู่ เรากำลังเผชิญหน้ากับคนสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือแกนตะวันตกและอเมริกาที่ในสนามศึกสงครามนั้นพวกเขากำลังผูกหัวใจไว้กับกลุ่มตักฟีรีทั้งหลายที่กำลังอยู่ในสภาพของการถูกทำลายทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ส่วนในอีกด้านหนึ่ง คือรัฐบาลซึ่งคอยให้การสนับสนุนต่อกองกำลังต้านทาน (มุกอวะมะฮ์) และเรียกร้องสู่การเจรจา ฮิซบุลลอฮ์ไม่อาจที่จะอยู่ร่วมในแนวรบกับอเมริกา อิสราเอลและบรรดากลุ่มคนที่ขุดหลุมศพและฉีกหน้าอกทั้งหลายได้” ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ กล่าวต่อไปว่า “จุดยืนนี้เองที่เป็นสาเหตุทำให้เราต้องเผชิญกับการโจมตีต่างๆ ทางด้านสื่อและการเมืองที่อันตรายยิ่ง ประเด็นนี้ถึงแม้เราจะไม่ได้เข้าไปแทรกแซงในซีเรียก็ตาม เราก็ไม่อาจจะอยู่อย่างสงบสุขได้” ท่านได้กล่าวว่า “ไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวหาเราได้ว่าแบ่งแยกนิกาย (มัซฮับ) คำพูดบางส่วนที่มีการกล่าวถึงเกี่ยวกับบรรดาชะฮีดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เราไม่มีเยาวชนกลุ่มใดที่ไปสู่สนามรบโดยใช้กำลังบังคับ เราไม่มีความจำเป็นต่อสิ่งนี้ที่จะประกาศการญิฮาด ในขณะที่หากเราพูดแค่เพียงสองคำ พวกท่านก็จะได้เห็นว่า ผู้คนจำนวนหลายหมื่นคนจะหลั่งไหลมาสู่สนามศึกเหล่านี้” เลขาธิการฮิซบุลลอฮ์เลบานอน ยังคงกล่าวต่อไปว่า “ฮิซบุลลอฮ์ได้เข้าร่วมในสงครามการป้องกันมุสลิมในประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เพื่อปกป้องบรรดามุสลิม ซึ่งในที่แห่งนั้นไม่มีชาวชีอะฮ์อยู่เลย” ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีจดหมายจำนวนมากจากพ่อแม่ซึ่งขออนุญาตจากข้าพเจ้าที่จะให้ส่งลูกชายเพียงคนเดียวของตนไปสู่สนามรบเหล่านี้” ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์กล่าวว่า “เรากำลังอยู่ในขั้นตอนใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งชื่อของมันคือ “การเสริมความแข็งแกร่งแก่กองกำลังต้านทาน (มุกอวะมะฮ์) และการปกป้องผู้ให้การสนับสนุนของตน” และทำนองเดียวกันนี้ คือการเสริมความแข็งแกร่งแก่เลบานอนและผู้ให้การสนับสนุน ข้าพเจ้าขอเรียกร้องผู้ที่จะให้การช่วยเหลือเราในสนามสงครามครั้งนี้ เราคือนักรบในสงครามนี้ และเราจะสร้างชัยชนะแก่มัน” ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ ได้เสริมว่า “ด้วยกับความอดทนและการอุทิศตน เราจะทำให้เส้นทางนี้เกิดความสมบูรณ์ เราจะทำการเสียสละต่อไป ดังเช่นในช่วงเริ่มต้นของสงครามแทมมูส (Tammuz) (สงคราม 33 วันกับอิสราเอล) ข้าพเจ้าได้ให้คำมั่นสัญญาถึงชัยชนะต่อพวกท่าน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าขอให้คำมั่นสัญญาถึงชัยชนะต่อพวกท่านอีกครั้ง” http://www.sahibzaman.com