หะดีษที่รายงานจากศาสดา (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) เกี่ยวกับอิหม่ามฮุเซน (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) มีหะดีษที่แนะนำอิหม่ามในฐานะเรือแห่งความรอดและประภาคารแห่งการชี้นำ

إنَّ الحُسَینَ مِصباحُ الهُدی وسَفینَةُ النَّجاةِ  อิหม่ามฮุเซน (อ.ส.) ประภาคารแห่งการชี้ทางและเรือแห่งความรอด. ท่ามกลางความมืดมิดแห่งการทดสอบและความยากลำบากแห่งกาลเวลา และความมืดมิดแห่งกับดักของมาร ฮุเซนคือแสงนำทางและผู้นำทางของมนุษย์ สู่แสงสว่างและความรู้แจ้งที่มนุษย์ต้องปฏิบัติตามเพื่อนำทางไปสู่จุดหมาย การล้มลงนำหน้าแสงนำทางและล้มลงหลังแสงนำทางนั้นนำไปสู่ความพินาศ. อิหม่ามฮุเซน (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ผู้เป็นศูนย์รวมแห่งความเมตตาอันใหญ่หลวงของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ ทรงสามารถส่องสว่างเส้นทางแห่งสัจธรรมให้แก่ทุกคนได้ โดยการสละชีวิต ทรัพย์สมบัติ และชีวิตของตนจากเส้นทางอันคดเคี้ยวของความคดโกงและความหลงผิด เพื่อนำพาผู้คนที่ประสบภัยพายุร้ายไปสู่สัจธรรมบนเรืออิมามอันเรืองรอง นอกจากตำแหน่งอิมามฮุเซนแล้ว ท่านยังเป็นเครื่องพิสูจน์จากพระผู้เป็นเจ้าในวิถีแห่งชีวิต สร้างแรงบันดาลใจให้กับเส้นทางและประเพณีแห่งญิฮาดและการพลีชีพ ชี้นำมนุษยชาติและมอบเกียรติ ผู้ใดยึดมั่นในการปกป้องคุ้มครองของท่าน ย่อมรอดพ้นจากคลื่นแห่งความอเทวนิยมและความอัปยศอดสู และจะบรรลุถึงฝั่งแห่งเกียรติยศและศักดิ์ศรี ตะเกียงของฮุเซนในค่ำคืนอันมืดมิดแห่งประวัติศาสตร์นั้นส่องสว่างและชี้แนะ "หนทาง" เสมอมา

Rate

View

Votes

อิหม่ามฮุเซน (อ.ส.) ประภาคารแห่งการชี้ทางและเรือแห่งความรอด

อิหม่ามโคมัยนี (ร.อ.):
"วันกุดส์เป็นวันสากล ไม่ใช่เป็นวันที่อุทิศให้กับกุดส์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นวันแห่งการเผชิญหน้าระหว่างผู้ถูกกดขี่และผู้หยิ่งผยอง"

วันกุดส์เป็นวันสากลการเผชิญหน้าระหว่างผู้ถูกกดขี่และผู้หยิ่งยโส

ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ศาสดาแห่งศาสนาอิสลาม เป็นที่รู้จักในนามศาสดาแห่งความเมตตาและความกรุณา บางแหล่งข้อมูลระบุว่าความเมตตาและความกรุณาของท่านแผ่ขยายไปถึงทุกคน แม้กระทั่งฝ่ายตรงข้าม และท่านมีอุปนิสัยเปี่ยมด้วยความรักและมิตรภาพ ชาวมุสลิมยกย่องท่านว่าเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบในด้านศีลธรรมและพฤติกรรมของมนุษย์. ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เป็นศาสดาแห่งความเมตตา ความเมตตากรุณา และความเมตตากรุณา ผู้ทรงเชื้อเชิญให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์และผูกมิตรต่อกัน และท่านเองก็ทรงเป็นผู้พิชิตหัวใจด้วยความรักและความเสน่หา พระผู้เป็นเจ้าทรงแนะนำท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ให้เป็นความเมตตาที่ครอบคลุม ซึ่งความเมตตานี้ครอบคลุมทุกคน ทั้งชาวมุสลิมและผู้มิใช่มุสลิม «وَ مَا أَرْسَلْنَاکَ إِلَّا رَحْمَهً لِّلْعَالَمِینَ» (ซูเราะฮฺ อัล-อันบิยาอฺ 107) “เราไม่ได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเป็นความเมตตาแก่สากลโลก”

การดำรงอยู่อันเป็นสุขของท่านศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้า (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) คือการสำแดงคุณลักษณะแห่งความเมตตาและความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอำนาจสูงสุด ผู้ทรงนำทางโลกทั้งมวลด้วยคัมภีร์ของพระองค์ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกล่าวถึงศาสดาของพระองค์ พระองค์ทรงแนะนำท่านในฐานะความเมตตาต่อโลกทั้งปวง ความเมตตาของโลกทั้งมวล และทรงถือว่าท่านเป็นสาวกของโลก ความเมตตาและความรักของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) มีพื้นฐานอยู่บนความเมตตาและความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งปรากฏชัดในชีวิตของท่าน และไม่มีใครปฏิเสธได้ ท่านศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ทรงเป็นผู้พิชิตจิตใจของบรรดาผู้รอบรู้ นักปราชญ์ บุคคลสำคัญ และนักคิดของโลก และเป็นผู้ประกาศความเท่าเทียม สันติภาพ และความสงบสุข คุณสมบัติทางศีลธรรมของท่านเป็นหนึ่งในลักษณะเฉพาะของท่าน ซึ่งทำให้ทุกคนที่ได้สนทนากับท่านต่างหลงใหลในคุณสมบัติทางศีลธรรมของท่านศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้า

ศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ศาสดาแห่งความเมตตาและความกรุณา

เห็นได้ชัดว่า หนึ่งในคำวิพากษ์วิจารณ์ของชาวยิวที่มีต่อชาวมุสลิมคือการเปลี่ยนกิบลัตจากเยรูซาเล็มไปยังกะอ์บะฮ์ เพราะชาวยิวเชื่อว่ากฎหมายชารีอะห์จะไม่มีวันถูกยกเลิก อัลกุรอานตอบโต้พวกเขาในข้อนี้ด้วยการอธิบายประวัติความเป็นมาของกิบลัต:

إِنَّ أَوَّلَ بَيْتٍ وُضِعَ لِلنَّاسِ لَلَّذِي بِبَكَّةَ مُبَارَكًا وَهُدًى لِلْعَالَمِينَ

เอกองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงตรัสว่า
“แท้จริงบ้านหลังแรก (สถานที่อิบาดะฮ์] ถูกตั้งขึ้นสําหรับมนุษยชาติ คือ บักกะฮ์ เป็นที่จําเริญและเป็นทางนําสําหรับประชาชาติทั้งหลาย
อัลกุรอาน บท อาลิอิมรอน โองการที่ 96

โองการนี้แสดงให้เห็นว่ากะอ์บะฮ์ซึ่งเป็นกิบลัตนั้นเก่าแก่กว่ามัสยิดศักดิ์สิทธิ์ ตามรายงานของอิหม่ามบากิร (อ.) ระบุว่า อาดัม โนอาห์ โมเสส และโซโลมอน (อ.) [อ.] ได้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นั่น [ยกเว้นอับราฮัมและอิสมาอีล (อ.) ผู้ซึ่งได้ฟื้นฟูบ้านหลังนี้และพิธีกรรมฮัจญ์] แท้จริงแล้ว ความสำคัญของกะอ์บะฮ์นั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ใช่เรื่องเปรียบเทียบ กล่าวคือ บ่งบอกถึงเกียรติยศของบ้านหลังนั้น ฐานะอันโดดเด่น และรากฐานของบ้านหลังนั้นเมื่อเทียบกับมัสยิดอื่นๆ เช่นเดียวกับมัสยิดอื่นๆ ที่สร้างขึ้นในทิศทางของกะอ์บะฮ์ อย่างไรก็ตาม คำว่า "กะอ์บะฮ์" หมายถึงบ้าน แม้ว่าจะไม่ใช่ที่ตั้งของบ้าน และบ้านถูกเรียกว่าบ้านเนื่องจากบ้าน (= พักค้างคืน) ตั้งอยู่ที่นั่น นี่หมายถึงอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งก็คือ บ้านจะอยู่ในเวลากลางคืน และส่วนสำคัญของพรจากพระเจ้าจะเกิดขึ้นในเวลากลางคืน เช่น การเปิดเผยคัมภีร์กุรอานในวันลัยละตุลก็อดร์ การเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของท่านศาสดาในเวลากลางคืน พิธีมิกอตสี่สิบคืนของมูซา ท่านศาสดา และ... ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลากลางคืน

กะอ์บะฮ์เป็นสัญลักษณ์ของเอกเทวนิยม และเอกเทวนิยมคือบรรทัดฐานของการชี้นำ ตามโองการนี้ กะอ์บะฮ์ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ต้นเพื่อเป็นบ่อเกิดแห่งพรและการนำทาง ดังนั้น สภาพแวดล้อมโดยรอบจึงไม่จำเป็นต้องเขียวขจี อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชผล มีน้ำอุดมสมบูรณ์ และอากาศบริสุทธิ์ เฉกเช่นบ้านศักดิ์สิทธิ์แห่งเยรูซาเล็ม ซึ่งพระเจ้าทรงวางไว้ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ กะอ์บะฮ์เป็นหนึ่งในบ้านที่เรียบง่ายที่สุด แต่มีเสน่ห์ดึงดูดผู้ศรัทธาหลายล้านคนจากทั่วโลกทุกปี และด้วยการปรากฏตัวของผู้แสวงบุญ ทำให้ได้เห็นพรต่างๆ มากมายในกะอ์บะฮ์ ในที่สุด ในยุคแห่งการเปิดเผย การลุกขึ้นของฮาซรัต มะห์ดี ผู้กอบกู้มนุษยชาติ ขอพระเจ้าทรงเร่งการเสด็จกลับมาของพระองค์ จะเริ่มต้นจากกะอ์บะฮ์ และการชี้นำและความยุติธรรมจะแผ่ขยายไปทั่วโลก

Pictures

Pictures