หนังสือ "อัล-มุรอญิอาต" เป็นการรวบรวมจดหมาย 112 ฉบับที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างซัยยิด อับดุล ฮุสเซน ชาราฟ อัล-ดิน นักวิชาการชีอะห์ และเชค อัล-อิสลาม ซาลิม บาชารี อัล-มาลิกี นักวิชาการชาวอียิปต์ มุฟตี และอดีตประธานมหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์
นักวิชาการทั้งสองท่านได้หารือและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเท็จจริงหลายประการในจดหมายเหล่านี้ การแสดงออกในจดหมายเหล่านี้มีความเป็นวรรณกรรม สวยงาม และมีพลัง และหัวข้อที่หยิบยกขึ้นมาในจดหมายเหล่านี้มีความเข้มข้นและสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดจากจดหมายของเชค ซาลิม บาชารีว่าเขาเป็นนักวิชาการที่ลึกซึ้ง ซื่อสัตย์ ยุติธรรม และมีความรู้ดี ในงานเขียนของเขา เขาได้ยืนยันข้อเท็จจริงที่สำคัญเกี่ยวกับชีอะห์และประเด็นความเชื่ออื่นๆ รวมถึงความสำคัญพื้นฐานของนิติศาสตร์ชีอะห์และความถูกต้องของการปฏิบัติ

“อัล-มุรอญิอาต” เป็นผลงานทางวิทยาศาสตร์และการปฏิรูปที่สำคัญชิ้นหนึ่งของศาสนาอิสลาม และเป็นก้าวสำคัญอันศักดิ์สิทธิ์สู่ความเข้าใจและความสามัคคีในศาสนาอิสลาม ความเข้าใจและการอธิบายความจริงของศาสนาอิสลาม ผู้เขียนเขียนถึงแรงบันดาลใจในการเขียนผลงานชิ้นนี้ว่า “ผมเสียใจและเสียใจกับภัยพิบัติเหล่านี้ (ความแตกต่างระหว่างสำนักคิดของศาสนาอิสลาม) และผมกำลังคิดหาทางแก้ไขจนกระทั่งผมเข้าสู่ประเทศอียิปต์ในช่วงปลายปี 1329 AH ผมหวังว่าจะได้พบกับใครสักคนในดินแดนแห่งแม่น้ำไนล์ที่เห็นด้วยกับผม และเราจะก้าวไปบนเส้นทางนี้ (ความสามัคคีของคำพูด) เราสามารถรักษาความเจ็บปวดจากความแตกต่างระหว่างชาวมุสลิมและทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันได้” ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ชาราฟ อัลดินได้ไปที่มหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์โดยมีเพื่อนๆ คอยให้คำแนะนำ และเข้าร่วมการบรรยายของชีคซาลิม บาชรี ประธานมหาวิทยาลัย เมื่อเชคซาลิม ซึ่งเป็นชายที่มีอิสระและเป็นสุภาพบุรุษ ได้เรียนรู้ถึงเป้าหมายอันสูงส่งของชาราฟ อัล-ดิน เขาก็เห็นด้วยกับเขาที่จะหารือกันต่อไปในประเด็นเรื่องอิมามจากมุมมองของชีอะห์ โดยนำเสนอหลักฐานและข้อโต้แย้งที่ถูกต้องและสอดคล้องกันต่อนิกายทั้งสองในรูปแบบของจดหมาย จดหมายฉบับแรกออกเมื่อวันที่ 6 ซุล-กาดะห์ 1326 AH ในฐานะจดหมายเปิดและอนุญาตให้เข้าร่วมการอภิปราย และออกโดยเชคซาลิม บาชารี จดหมายฉบับนี้มีขึ้นเป็นเวลา 6 เดือน ในจดหมายฉบับสุดท้ายของเขา เชคซาลิมยอมรับความชอบธรรมของศาสนาชีอะห์ โดยกล่าวว่า "ฉันขอยืนยันว่าพวกท่าน (ชีอะห์) อยู่บนเส้นทางและแนวทางเดียวกันในสาขาของศาสนาและหลักการต่างๆ เช่นเดียวกับอิมามของศาสดาแห่งอัลลอฮ์ (ขอสันติภาพและความจำเริญจากอัลลอฮ์จงมีแด่ท่านและครอบครัวของท่าน)"

Author

Editor

Interpreter

Common title

Number of volumes

Persian Title

Publish location

Publication year

Publish number

Publisher

Qr Code

Sect

Scholar

ISBN

Source

Translated

Translated Fields

Custom Canonical

is suggested

Rate

Indexing

SEO Title

View

Votes

อัล-มุรอญิอาต

ฮัสซัน อิบนุ อาลี อิบนุ มุฮัมหมัด (อ.ส.) หรือที่รู้จักในชื่อ อิหม่ามฮัสซัน อัสการี (อ.ส.) (232-260 AH) เป็นอิหม่ามองค์ที่ 11 ของชีอะห์สิบสองอิมาม ซึ่งดำรงตำแหน่งอิหม่ามเป็นเวลาหกปี เขาเป็นบุตรชายของอิหม่ามฮาดี (อ.ส.) และเป็นบิดาของอิหม่ามมะห์ดี (อ.ส.)
ตำแหน่งที่โด่งดังที่สุดของเขาคือ อัสการี ซึ่งหมายถึงการที่เขาถูกบังคับให้พำนักในซามาร์รา เขาอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลอับบาซียะฮ์ในซามาร์รา และเผชิญกับข้อจำกัดในกิจกรรมของเขา อิหม่าม อัสการี (อ.ส.) ติดต่อกับชีอะห์ผ่านตัวแทนของเขาและผ่านทางจดหมาย อุษมาน อิบนุ ซาอีด ผู้แทนพิเศษคนแรกของอิหม่ามแห่งกาลเวลา (อ.ส.) ยังเป็นหนึ่งในผู้แทนพิเศษของเขาด้วย อิหม่ามฮัสซัน อัสการี (อ.ส.) ถูกสังหารที่เมืองซามาร์ราในวันที่ 8 รอบีอุล-อาวัล ในปี 260 AH เมื่ออายุได้ 28 ปี และถูกฝังไว้ข้างๆ หลุมศพของบิดา หลุมศพของพวกเขาเป็นที่รู้จักในชื่อศาลเจ้าอัสการี และถือเป็นสถานที่แสวงบุญของชีอะห์ในอิรัก มีรายงานหะดีษจากอิหม่าม อัสการี (อ.ส.) ในหัวข้อการตีความคัมภีร์กุรอาน จริยธรรม นิติศาสตร์ เรื่องของความเชื่อ การวิงวอน และการแสวงบุญ

อัตชีวประวัติอิมามมะฮฺศูมีน 11-12: อิหม่ามฮัสซัน อัสการี (อ.ส.)

พระองค์ หนังสือเล่มนี้ได้ออกมาสู่ท่านผู้อ่านด้วยวัตถุประสงค์ ดังกล่าวนั้น โดยการแปลมาจากผลงานของท่านดร.อาลี ชะรีอะ  จากต้นฉบับภาษาอาหรับ ความมุ่งหมายของหนังสือเล่มนี้เพื่อเสนอ รายละเอียดทางประวัติศาสตร์อิสลาม ตามหลักฐานของฝ่ายอะฮ์ลิซ ซุนนะฮ์เป็นส่วนใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาค้นคว้า และความ เข้าใจอิสลามเพื่อเพิ่มพูนความศรัทธาในอิสลามของพี่น้องมุสลิมทั้งฝ่ายอะฮ์ลิชชุนนะฮ์และชีอะฮ์เป็นส่วนรวม วีรกรรมของท่านศาสตา (ศ) นี้ มุสลิมพึงได้อ่านอย่าง วิเคราะห์จะทำให้เห็นและเข้าใจอิสลามในขอบข่ายที่กว้างขวางขึ้น โดยอาศัยซุนนะฮ์แห่งท่านนบีในกรณีต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ นี้ โดยเฉพาะความมุ่งหมายของอิสลามในด้านศาสนา การเมือง การ ปกครอง และยุทธศาสตร์การทหาร ซึ่งจากประวัติศาสตร์เล่มนี้ควร ได้สะท้อนให้มวลมุสลิมได้สำนึกถึงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของเขาต่อ อิสลามและความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ต่อมนุษยชาติ การเสียสละ อันเป็นวีรกรรมของมุสลิมตั้งแต่สมัยเริ่มต้นแห่งประวัติศาสตร์อิสลาม นั้นได้ส่งผลแห่งความภาคภูมิใจ ความสง่างามและเกียรติยศอันสูงส่งแก่ มุสลิมชั่วนิรันดร รายละเอียดแห่งวีรกรรมเหล่านั้นคือแบบ อย่างอันล้ำค่า ประดุจทรัพย์สมบัติอันเป็นมรดกตกทอดมาด้วยความ ทนุถนอมหวงแหน เพื่อส่งต่อไปยังอนุชนรุ่นหลังของมวลมุสลิมให้ ได้รับรู้และร่วมสำนึกในความสูงส่งแห่งการเสียสละ ตลอดจนคุณค่า อันควรแก่เกียรติยศอันไพบูลย์เช่นนั้น ซึ่งบรรพชนของเขาได้บำเพ็ญ มาเพื่อชี้นำมวลมนุษย์ วีรกรรมของท่านศาสดา (ศ) ได้สะท้อนให้เห็นความยาก ลำบากของสถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ ในการวางฐานรากอิสลามลงในแผ่นดิน
ทะเลทรายอันเหี้ยมโหด ท่ามกลางพายุร้ายแห่งทะเลทรายและ ภยันตรายรอบด้าน บุรุษหนึ่งได้วางชีวิตเป็นเดิมพันอุทิศตนเพื่องานนี้ โดยมิได้คิดแม้เพียงน้อยนิดเพื่อประโยชน์สุขของตนเอง หากทั้งหมด นั้นเพื่อมนุษยชาติ และได้ประสพความสำเร็จอย่างน่าพิศวง ซึ่งไม่มี ใครคาดคิดว่าสถาปัตย์กรรมในพื้นทรายของเขานั้นจะเป็นอมตะยิ่ง ใหญ่งดงามและทรงคุณค่าอันไพศาลต่อมวลมนุษย์ถึงเพียงนี้ หนังสือ เล่มนี้จะนำท่านไปสู่รายละเอียดแห่งการต่อสู้ และความยากลำบาก ของสถาปนิกผู้เป็นอมตะท่านนั้น ยอมใหญ่

วีรกรรมของท่านศาสดา (ศ)

ความเชื่อในชีวิตหลังความตายเป็นเงื่อนไขของการเป็นมุสลิม ซึ่งหมายความว่าหากใครก็ตามที่สูญเสียและปฏิเสธความเชื่อนี้ พวกเขาจะถูกขับออกจากกลุ่มมุสลิม หลังจากหลักการของเอกเทวนิยมแล้ว หลักการที่สำคัญที่สุดที่ศาสดาแห่งพระเจ้าเตือนใจผู้คนและขอให้พวกเขาเชื่อก็คือหลักการนี้ ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่นักศาสนศาสตร์อิสลามว่า “หลักการแห่งการฟื้นคืนชีพ”
หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ 6 และเล่มสุดท้ายของชุดบทนำเกี่ยวกับโลกทัศน์ของอิสลาม ในบทที่ 1 ของหนังสือเล่มนี้ มีการแนะนำวิธีต่างๆ ในการเชื่อในชีวิตนิรันดร์ ดังนี้ วิธีที่จะรู้จักพระเจ้า วิธีที่จะรู้จักโลก วิธีที่จะรู้จักวิญญาณและจิตวิญญาณของมนุษย์
ในบทที่ 2 จะกล่าวถึงธรรมชาติของความตายและการดำรงอยู่ของวิญญาณหลังความตาย
บทที่ 3 อุทิศให้กับการอภิปรายเกี่ยวกับโลกของบัรซัค การพิพากษาครั้งใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตในโลกนี้และโลกหน้า และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในบทสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ มีการนำเสนอข้อโต้แย้งจากอัลกุรอานในประเด็นชีวิตหลังความตายและชีวิตหลังความตาย โดยยกข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องมาอ้าง ในบทนี้ ได้มีการอภิปรายและตรวจสอบหลักการสองประการของ "ความยุติธรรม" และ "ปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์" ในฐานะหลักการที่สนับสนุนชีวิตนิรันดร์

ชีวิตนิรันดร

ผู้ที่ได้ศึกษาค้นคว้าซุนนะฮฺของท่านนบี โดยละเอียดลึกซึ้ง จะสามารถเข้าใจในคุณค่าอันสูงส่งทางวิชาการที่มาจากความรู้ด้านนี้ได้อย่างดียิ่ง เพราะนั่นคือมรดกทางวิชาการ บทบัญญัติทางศาสนา และมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นอมตะ ซึ่งส่งผลให้เกิดขบวนการที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในโลกมนุษย์แห่งนี้ โดยได้เป็นสาเหตุในการปลดปล่อยความคิดให้มีอิสระเสรี มีการปรับเปลี่ยนอารยธรรมแห่งมนุษย์ไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ซุนนะฮฺนบี หมายถึง วจนะและการกระทำของท่าน ตลอดจนท่าทีการแสดงออกจากตัวท่าน ถือว่านั่นคือ แหล่งที่มาอันดับสองรองจากอัล-กุรฺอานแห่งวิชาการทางศาสนาบัญญัติความรู้ต่างๆ  ด้วยเหตุนี้ อัล-กุรฺอานจึงกำชับให้มนุษยชาติยึดถือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

วิชาฮะดีษขั้นพื้นฐาน

ปัญหานี้เอง ที่ทำให้บรรดามุสลิมพากันศึกษาวิเคราะห์กันอย่างมากมาย โดยเฉพาะ บรรดาอะห์ลิซซุนนะฮ์ ซึ่งถือว่าพวกตนเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ที่ยึดถือ ซุนนะฮ์นบีได้อย่างแท้จริง ยิ่งกว่าเจ้าของซุนนะฮ์เอง และเหนือกว่าบรรดาบุตรหลาน ของท่านผู้บริสุทธิ์ ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังให้การปฏิเสธท่านเหล่านี้ ยิ่งกว่าใครๆ ทั้งหมดในบรรดามุสลิม และแสดงการท้าทายท่านเหล่านั้น โดยการใช้ฉายานามว่า อะห์ลิซซุนนะฮ์ปัจจุบัน ในประเทศอิสลามหลายประเทศ ได้มีสมาคมใหม่ๆ ถูกก่อตั้ง ขึ้นมาอย่างมากมาย โดยใช้ชื่อ เรียกว่า “ปกป้องซุนนะฮ์ของมุฮัมมัด” บ้าง “กลุ่มช่วยเหลือบรรดาซอฮาบะฮ์”บ้าง มีหนังสือหลายเล่มได้ถูก เขียนขึ้นมาเพื่อ ด่าทอ และกล่าวหา ชีอะฮ์และอิมาม ของพวกเขาว่าเป็นกาฟิร และเยาะเย้ยถากถาง บรรดาผู้รู้ของชีอะฮ์ บรรดาเครือข่ายต่างๆ เกี่ยวกับด้านการข่าวระดับโลกต่าง พากันแพร่แนวความคิดเหล่านี้ไปตามภูมิภาคต่างๆของโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศอิสลามหรือไม่ก็ตาม ฉะนั้น เรื่องที่คนทั้งหลาย สนทนากันมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ในทุก วันนี้ ก็คือ เรื่องซุนนะฮ์กับชีอะฮ์

จงถามผู้รู้

ครอบครัวของศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ประกอบด้วยภรรยาและลูกๆ ของท่าน ท่านแต่งงานกับฮาซรัตคอดีญะฮ์ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และมีลูกด้วยกัน 6 คน ได้แก่ ลูกชาย 2 คนชื่อกาซิมและอับดุลลาห์ และลูกสาว 4 คนชื่อไซนับ รุก็อยะห์ อุมม์ กุลธุม และฟาติมะฮ์ ท่านยังมีลูกชายชื่ออิบรอฮีมจากมารีอา กอบตียะห์อีกด้วย สายเลือดของศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) สืบต่อมาจนถึงฮาซรัตฟาติมะฮ์ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และอิหม่ามอาลี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)

ครอบครัวศาสดามุฮัมมัด ศาสนทูตแห่งอิสลาม

ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับประวัติและการแนะนำตัวของบุคคลนี้ เพื่อนร่วมงานของเราในส่วนเนื้อหาจะตรวจสอบและแนะนำตัวในส่วนนี้ เนื่องจากไซต์นี้มีนักเขียน นักวิจัย และนักแปลจำนวนมาก การป้อนข้อมูลและตรวจสอบทั้งหมดจึงต้องใช้เวลา ดังนั้น หากผู้ใช้ไซต์ขอแนะนำตัวบุคคลดังกล่าวผ่านหน้า "ติดต่อเรา" เนื้อหาสำหรับบุคคลดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาก่อน นอกจากนี้ หากคุณซึ่งเป็นผู้ใช้ไซต์แหล่งข้อมูลอิสลามที่เคารพนับถือ รู้จักนักเขียน นักแปล นักวิจัย หรือบรรณาธิการที่เกี่ยวข้องรายนี้ และต้องการเขียนบทความแนะนำตัวบุคคลดังกล่าว (ประวัติ ผลงานแปล ฯลฯ) เพื่อส่งเสริมและเชิญชวนให้ผู้อื่นอ่านหนังสือของบุคคลนี้ คุณสามารถส่งเนื้อหาและข้อมูลที่ต้องการในเรื่องนี้ผ่านหน้า "ติดต่อเรา" ได้

Born

Death

อัยยูบ ยอมใหญ่

อัยยูบ ยอมใหญ่

อัยยูบ ยอมใหญ่

Author Books