หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 14 โดยชีคอับบาส โกมีในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งมาชฮัด โดยจะพิจารณาคำบรรยายที่บันทึกไว้ในหนังสือเล่มก่อนๆ เช่น หนังสืออิคบัลโดยซัยยิด อิบนุ เตาุส และมิสบาห์ คาฟามี ในเวลานั้น มาฟาติห์ อัล-จินันพยายามรวบรวมหะดีษชีอะห์ที่แท้จริงและมอบให้กับชาวมุสลิมในรูปแบบหนังสือ และอัล-ฮักก์ก็ประสบความสำเร็จในภารกิจนี้ มาฟาติห์ อัล-จินันถือเป็นหนังสืออ้างอิงชีอะห์เล่มหนึ่งในปัจจุบัน และชีคจำนวนมากใช้หนังสือเล่มนี้ในการปฏิบัติศาสนกิจและพิธีกรรมทางศาสนาในโอกาสต่างๆ เนื้อหาของหนังสือมาฟาติห์ อัล-จินันประกอบด้วยการสวดมนต์และพิธีกรรมทางศาสนา การสวดมนต์ การแสวงบุญ และการวิงวอนต่างๆ ที่เล่าโดยอิหม่ามผู้ยิ่งใหญ่ ชีคอับบาส โกมี ผู้รวบรวมหนังสือเล่มนี้

Author

Editor

Interpreter

Common title

Number of volumes

Persian Title

Publish location

Publication year

Publish number

Publisher

Qr Code

Sect

Scholar

ISBN

Source

Translated

Translated Fields

Custom Canonical

is suggested

Rate

Indexing

SEO Title

View

Votes

(มาฟาติห์ อัล-จินัน คัดสรร) มุนตะค็อบ มะฟาติฮุลญินาน กุญแจแห่งสรวงสวรรค์

คู่มือฮัจญ์โดยทั่วไปจะครอบคลุมถึงความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีกรรมของฮัจญ์ ขั้นตอนต่าง ๆ รวมถึงประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้แสวงบุญต้องปฏิบัติในระหว่างฮัจญ์ คู่มือนี้จะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับขั้นตอนต่าง ๆ ของฮัจญ์ เช่น การอิฮรอม การยืนในอาราฟัตและมาชอาร์ฮารอม การขว้างญะมะรัต การตะวาฟ และซาอีระหว่างเศาะฟาและมัรวะฮ์
ขั้นตอนของฮัจญ์:
อิฮรอม: ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการสวมเสื้อผ้าพิเศษที่ผู้แสวงบุญสวมใส่ระหว่างเส้นทางฮัจญ์
การยืนในอาราฟัต: ผู้แสวงบุญจะละหมาดและละหมาดที่ขั้นตอนนี้ในดินแดนอาราฟัต ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญในฮัจญ์
การยืนในมาชอาร์ฮารอม: หลังจากอาราฟัตแล้ว ผู้แสวงบุญก็จะยืนในมาชอาร์ฮารอมเช่นกัน
การขว้างญะมะรัต: ผู้แสวงบุญจะขว้างก้อนหินใส่สามญะมะรัตในมินา
การบูชายัญ: ในขั้นตอนนี้ ผู้แสวงบุญจะบูชายัญ การโกนผมหรือตักซีร: หลังจากการสังเวย ผู้แสวงบุญจะตัดผมของตนเองทั้งหมดหรือบางส่วน
การตะวาฟฮัจญ์: ขั้นตอนนี้รวมถึงการเดินวนรอบกะอ์บะฮ์
การละหมาดตะวาฟฮัจญ์: หลังจากละหมาดตะวาฟฮัจญ์ ผู้แสวงบุญจะละหมาด
ซาอีระหว่างเศฟาและมัรวะห์: ในขั้นตอนนี้ ผู้แสวงบุญจะเดินหรือวิ่งระหว่างเศฟาและมัรวะห์
การตะวาฟอันนิซา: การตะวาฟนี้สำหรับผู้หญิง
การละหมาดตะวาฟอันนิซา: หลังจากละหมาดตะวาฟอันนิซา ผู้แสวงบุญจะละหมาด
บัยตุฏอในมินา: ผู้แสวงบุญจะพักค้างคืนในมินา
การขว้างก้อนหินใส่สามญะมารอต: ผู้แสวงบุญขว้างก้อนหินใส่สามญะมารอตในมินา

คู่มือฮัจญ์

ชื่อหนังสือ "ชีอะห์มีคำตอบ" เขียนโดยเซย์ยิด เรซา ฮอสเซนี นาซับ หนังสือเล่มนี้ตอบคำถามและคำถามเกี่ยวกับศาสนาชีอะห์ และได้รับการตีพิมพ์เป็นเล่มเดียว
ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนตอบคำถามโดยใช้หลักฐานที่ชัดเจนและอ้างอิงฮะดีษที่น่าเชื่อถือ (อ้างโดยซุนนี) นอกจากนี้ ผู้เขียนยังอ้างถึงต้นตอของความสงสัยและความคิดเห็นของนักวิชาการซุนนี และในกรณีเช่น การบิดเบือนคัมภีร์อัลกุรอานจากมุมมองของชีอะห์ ผู้เขียนยังเตือนถึงความคิดเห็นของนักวิชาการชีอะห์อีกด้วย
ต่อไปนี้คือคุณลักษณะบางประการของหนังสือเล่มนี้:
การตรวจสอบห่วงโซ่การควบคุมและข้อความของฮะดีษอย่างรอบคอบ
การตรวจสอบแนวคิดของการบรรยายจากมุมมองของคำศัพท์ วรรณกรรม และสำนวน
การอธิบายและอธิบายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์
การใช้การอภิปรายอย่างมีเหตุผล เชิงบรรยาย เชิงกฎหมาย เชิงปรัชญา และเชิงเทววิทยา การพิจารณาความเป็นไปได้ทั้งหมดในการอภิปรายและให้คำตอบที่โต้แย้งและโต้แย้ง
หลีกเลี่ยงการพูดยาวๆ และพยายามตอบคำถามที่สงสัย

ชีอะฮ์มีคำตอบ

อับดุลลอฮ์ อิบน ซาบา เป็นบุคคลที่รู้จักกันในประวัติศาสตร์อิสลามว่าเป็นชาวยิวลึกลับที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและมีบทบาทในการก่อกบฏและความไม่สงบในช่วงที่อุษมานปกครองประเทศ บางคนถือว่าเขาเป็นผู้ก่อตั้งนิกายฆาลียันและเป็นปัจจัยหลักในการสังหารอุษมาน
เรื่องราวและคำบรรยายที่เกี่ยวข้องกับอับดุลลอฮ์ อิบน ซาบา:
แหล่งข้อมูลบางแห่งระบุว่าเขาเป็นปัจจัยหลักในการก่อกบฏและกบฏต่ออุษมาน และเชื่อว่าเขาเป็นผู้ปูทางไปสู่การสังหารเคาะลีฟะฮ์ด้วยการกล่าวอ้างเท็จและยุยงปลุกปั่นผู้คน คำบรรยายบางแห่งระบุว่าเขาเป็นคนแรกที่เชื่อในความเป็นพระเจ้าของอิหม่ามอาลี (อ.ส.) และส่งเสริมความเชื่อนี้ในหมู่ชาวมุสลิม แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์บางแห่ง โดยเฉพาะแหล่งข้อมูลซุนนี ระบุว่าเขาเป็นชาวยิวที่เข้าสู่ศาสนาอิสลามเพื่อก่อให้เกิดความแตกแยกและความขัดแย้งในศาสนา
บุคคลในตำนาน:
นักวิจัยบางคนเชื่อว่าอับดุลลอฮ์ อิบน ซาบาเป็นบุคคลในตำนานและไม่มีตัวตนอยู่จริง Allama Askari ได้ตรวจสอบประเด็นนี้ในหนังสือของเขาเรื่อง "Abdullah ibn Saba and other historical legends" และเชื่อว่าตัวละครนี้ถูกแต่งขึ้นโดย Saif ibn Omar
ชื่อของนิกาย Sabai ซึ่งถือว่าเป็น Ghaliyan นั้นนำมาจากชื่อของเขา
มุมมองที่แตกต่างกัน:
มุมมองแบบดั้งเดิม:
แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์จำนวนมากถือว่า Abdullah ibn Saba เป็นตัวละครที่มีอยู่จริงและเป็นปัจจัยหลักในการก่อกบฏและความวุ่นวายในช่วงของอาณาจักร Uthman
มุมมองการวิจัย:
นักวิจัยบางคนได้สรุปจากการตรวจสอบคำบรรยายและแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ว่า Abdullah ibn Saba เป็นตัวละครในตำนานและไม่มีอยู่จริง
ในที่สุด Abdullah ibn Saba ยังคงเป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในประวัติศาสตร์อิสลาม และมีเรื่องราวและคำบรรยายที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเขา

อับดุลลอฮ์ อิบนิ สะบาอ์และนิยายต่างๆ

บทเทศนาของอิหม่ามอาลี (AS) เป็นการรวบรวมคำปราศรัย เทศนา และคำสอนที่กล่าวตลอดชีวิตของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่พระองค์เป็นเคาะลีฟะฮ์ บทเทศนาเหล่านี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลอิสลามต่างๆ และครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น เอกเทวนิยม คำทำนาย การฟื้นคืนชีพ จริยธรรม การเมือง ความยุติธรรม และปัญหาทางสังคม บทเทศนาเหล่านี้มีตำแหน่งพิเศษในหมู่ชาวมุสลิมในแง่ของเนื้อหาและวาทศิลป์ และถือเป็นแหล่งข้อมูลในการสกัดคำสอนและหลักจริยธรรมของศาสนาอิสลาม

สุนทโรวาทของอิมามอะลี (อ.)

หนังสือเล่มนี้มีหลักฐานที่แน่นหนาและครอบคลุม แนะนำชีอะฮ์ในฐานะผู้ติดตามที่แท้จริงของอาลี อิบน์ อาบีฏอลิบ (ขอสันติภาพจงมีแด่เขา) และนิกายผู้ช่วยให้รอด และตามชื่อของหนังสือก็บ่งบอกว่านิกายนี้ได้สำรวจนิกายนี้ในกระแสประวัติศาสตร์
ด้วยการประพันธ์หนังสืออันทรงคุณค่าชื่อ “ชีอะฮ์ในขบวนแห่งประวัติศาสตร์: การศึกษาเชิงอัตวิสัยเกี่ยวกับต้นกำเนิดของชีอะฮ์ในมุมมองของหนังสือ ซุนนะห์ และประวัติศาสตร์” อายาตอลเลาะห์ โซบจานีได้สำรวจประวัติศาสตร์ของการเกิดขึ้นของนิกายอิมามียะห์ และตรวจสอบผ่านมุมมองของอัลกุรอาน คำบรรยาย และประวัติศาสตร์ ส่วนหนึ่งของคำนำของงานนี้ระบุว่า: “ศาสดาแห่งอัลลอฮ์ ขอสันติภาพจงมีแด่ท่านและครอบครัวของท่าน ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวงในภารกิจและในการก่อตั้งรากฐานของการเคลื่อนไหวของท่าน แม้ว่าพายุหมุนอันรุนแรงแห่งแผนการร้ายของศัตรูจะโอบล้อมการเคลื่อนไหวและชารีอะห์ของพวกเขาอยู่เสมอ แต่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ว่าจะต้องป้องกันไม่ให้แสงสว่างของการเคลื่อนไหวนั้นเสื่อมถอยลง และปกป้องการเคลื่อนไหวนั้นจากความชั่วร้ายของพวกพหุเทวนิยมและพวกหน้าซื่อใจคด”
บทความนี้ยังระบุเพิ่มเติมว่า: “ในทางกลับกัน หลังจากการสิ้นพระชนม์ของศาสดาแห่งอัลลอฮ์ ขอสันติภาพและพรจงมีแด่ท่านและครอบครัวของท่าน ประชาชาติอิสลาม เช่นเดียวกับประชาชาติอื่นๆ ล้วนต้องเผชิญประเพณีแห่งการทดสอบและการทดสอบ เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้คนใช้เจตจำนงของตนอย่างไร และปลดปล่อยตนเองจากการล่อลวงได้อย่างไร โดยยึดมั่นในวิธีการนำทาง และแบบอย่างแห่งเกียรติยศของประชาชาติที่ได้รับความรอดที่พวกเขาแขวนคอไว้บนคอ” รากฐานของศาสนาชีอะห์และประวัติศาสตร์การเกิดขึ้นของศาสนาชีอะห์ รวมทั้งสมมติฐานสมมติเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของศาสนาชีอะห์และชีอะห์ในสมัยอุมัยยัดและอับบาซียะฮ์ ประกอบเป็น 3 บทในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมีชื่อเรื่องว่าชีอะห์ในสมัยอุมัยยัด โดยมีชื่อเรื่องหลัก 2 ชื่อเรื่องคือ "จดหมายของอิหม่ามฮุเซนถึงมุอาวียะห์" และ "ถ้อยแถลงของมุอาวียะห์ถึงผู้ติดตาม" และชีอะห์ในสมัยอาณาจักรอับบาซียะฮ์ ถือเป็นหัวข้อสำคัญบางประการในบทที่ 3 ของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งก็คือ "ชีอะห์ในสมัยอุมัยยัดและอับบาซียะฮ์" ในบทแรกของงานนี้ ภายใต้หัวข้อ “ถ้อยคำของศาสดาแห่งอัลลอฮ์ (สันติภาพจงมีแด่เขาและครอบครัวของเขา) เกี่ยวกับชีอะห์” เราอ่านได้ว่า “อัล-มาฆะซีลีได้เล่าผ่านสายการถ่ายทอดของเขาจากอะนัส บิน มาลิกว่าศาสดาแห่งอัลลอฮ์ (สันติภาพจงมีแด่เขาและครอบครัวของเขา) ได้กล่าวว่า “ประชาชาติของฉันเจ็ดหมื่นคนจะเข้าสวรรค์โดยที่ไม่ต้องนับ” จากนั้นเขาก็หันไปหาอาลีและกล่าวว่า “พวกเขาคือชีอะห์ของคุณ และคุณคืออิหม่ามของพวกเขา”
ส่วนอื่นของหัวข้อนี้ระบุว่า “อิบนุ มัรดาวียะห์เล่าจากอาลี (สันติภาพจงมีแด่เขา) ว่าศาสดาแห่งอัลลอฮ์ได้กล่าวกับฉันว่า “เจ้าไม่เคยได้ยินพระวจนะของอัลลอฮ์ที่กล่าวว่า ผู้ที่ศรัทธาและกระทำความดีคือคนที่ดีที่สุดหรือ พวกเขาคือเจ้าและชีอะห์ของเจ้า และการพบกันระหว่างฉันกับเจ้าอยู่ที่สระน้ำ เมื่อประชาชาติทั้งหลายมารายงานบัญชีของพวกเขา เจ้าจะถูกฟอกขาว” ในบทที่สองของงานนี้ ซึ่งมีชื่อว่า "สมมติฐานในจินตนาการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของศาสนาชีอะห์" มีการวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบสมมติฐาน 7 ประการ ได้แก่ ศาสนาชีอะห์และวันซากีฟะฮ์, ศาสนาชีอะห์ที่สร้างขึ้นโดยอับดุลลอฮ์ อิบน์ ซาบา, ศาสนาชีอะห์มีต้นกำเนิดหรือสีผิวในอิหร่าน, ศาสนาชีอะห์และวันแห่งอูฐ, ศาสนาชีอะห์และการรบที่ซิฟฟิน, ศาสนาชีอะห์และพวกบูยิด, ศาสนาชีอะห์และพวกซาฟาวิด

ชีอะฮ์ในประวัติศาสตร์อิสลาม

หนังสือ "ชีอะห์ในอิสลาม" เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับชีอะห์และชีอะห์สิบสองอิมาม เขียนโดย Allameh Tabataba'i หนังสือเล่มนี้ถือเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในสาขาการศึกษาชีอะห์ในช่วงหลายปีก่อนการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน และเป็นแหล่งที่มาของการศึกษาชีอะห์ในมหาวิทยาลัยและศูนย์วิจัยในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้ยังคงใช้เป็นตำราเรียนในเซมินารีของอิหร่าน
ตามคำกล่าวของนักวิจัยผู้นี้ เนื่องมาจากอคติและการบิดเบือนของนักวิชาการตะวันตกและการใช้แหล่งข้อมูลซุนนีในการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม ชีอะห์ที่แท้จริงจึงไม่เคยได้รับการยอมรับในโลกตะวันตก ดังนั้น Allameh Tabataba'i จึงเขียนหนังสือ "ชีอะห์ในอิสลาม" ขึ้นในราวปี ค.ศ. 1345 หนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกโดย Seyyed Hossein Nasr และตีพิมพ์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอเมริกา ในปี ค.ศ. 1347 หนังสือเล่มนี้ฉบับภาษาเปอร์เซียก็ได้รับการตีพิมพ์ในอิหร่านเช่นกัน หนังสือเรื่อง “ชีอะห์ในอิสลาม” มีข้อกล่าวกันว่าแตกต่างจากอคติที่แพร่หลายทั่วไป โดยได้ศึกษาประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน และเปิดเผยอัตลักษณ์ที่แท้จริงของชีอะห์ในฐานะหนึ่งในสองศาสนาหลักของศาสนาอิสลามในระดับสูง ความคิดเห็นบางส่วนของผู้เขียนเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้มีดังนี้ ในคัมภีร์อัลกุรอานได้เสนอวิธีการสามวิธีในการเข้าถึงความจริง ได้แก่ การเล่าเรื่อง การใช้เหตุผลเชิงปรัชญา และการเปิดเผยทางลึกลับ แหล่งที่มาหลักของลัทธิลึกลับของศาสนาอิสลาม ได้แก่ คัมภีร์อัลกุรอาน ซุนนะห์ และคำพูดของอิหม่ามอาลี (AS) ในคัมภีร์อัลกุรอาน วิธีหลักในการรู้จักพระเจ้าคือการรู้จักตัวเอง อิหม่ามชีอะห์ใช้เฉพาะวิธีการตีความที่เน้นคัมภีร์อัลกุรอานเป็นหลักในการตีความคัมภีร์อัลกุรอาน

ชีอะฮ์ในอิสลาม

สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลามในประเทศไทยมีหลายแห่ง มหาวิทยาลัยฟาฏอนีเป็นหนึ่งในนั้น โดยเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนอิสลามแห่งแรกในประเทศไทย และมุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางในการบ่มเพาะความรู้ทางวิชาการและจริยธรรมอิสลาม. นอกจากนี้ ยังมีสถาบันอื่นๆ เช่น วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ที่มีการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลามด้วย ตามข้อมูลใน Thai Journals Online (ThaiJO).
มหาวิทยาลัยฟาฏอนี:
เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนอิสลามแห่งแรกในประเทศไทย ที่เน้นการศึกษาอิสลามและจริยธรรม.
วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์:
มีการส่งเสริมการศึกษาอิสลามและวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตามข้อมูลใน Thai Journals Online (ThaiJO).
สถาบันอื่นๆ:
อาจมีสถาบันหรือองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลามในประเทศไทย แต่ข้อมูลเฉพาะเจาะจงอาจต้องค้นหาเพิ่มเติม

persian title

address

Founded

mail

phone

สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม

สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม

สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม

Publisher Books

Contact info

Location