บทอัลมะสัด
บทอัลมะสัด
0 Vote
72 View
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ผู้ทรงพระปรานี ผู้ทรงพระเมตตายิ่งเสมอ
๑๑๑. ซูเราะฮฺมะสัด
ซูเราะฮฺถูกประทานที่มักกะฮฺ มีทั้งสิ้น ๕ โองการ ความประเสริฐของซูเราะฮฺ ซูเราะฮฺดังกล่าวได้ถูกประทานลงมาในช่วงแรกของการเผยแพร่อย่างเป็นทางการของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ซูเราะฮฺมะสัดเป็นซูเราะฮฺเดียวที่ได้เอ่ยนามศัตรูของอิสลามและท่านศาสดาในสมัยนั้น (อบูละฮับ) ซึ่งความจำกัดความของซูเราะฮฺได้บ่งบอกให้เห็นว่าเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสลามและของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เขาและภรรยาไม่เคยลดละการขัดขวางงานเผยแพร่ของท่านศาสดา อัล-กุรอานกล่าวอย่างชัดเจนว่า ทั้งสองคือชาวนรก ซึ่งพฤติกรรมของเขาทั้งสองตรงตามที่อัล-กุรออานได้กล่าวไว้ทุกประการ และบั้นปลายสุดท้ายทั้งสองได้ตายจากโลกนี้อย่างผู้ไร้ศรัทธา สิ่งนี้ถือว่าเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าที่ถูกต้องของอัล-กุรอาน ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า บุคคลใดได้อ่านซูเราะฮฺมะสัดฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอัลลอฮฺ จะไม่รวมเขากับอบูละฮับไว้ในบ้านหลังเดียวกัน หมายถึงเขาได้กลายเป็นชาวสวรรค์ ส่วนอบูละฮับได้กลายเป็นชาวนรก อีกนัยหนึ่งความประเสริฐดังกล่าวจะเป็นของบุคคลที่ได้อ่านซูเราะฮฺนี้ และในทางปฏิบัติเขาได้แยกทางของเขากับอบูละฮับอย่างชัดเจน มิใช่เป็นของบุคคลที่ได้อ่านซูเราะฮฺดังกล่าวแต่ในทางปฏิบัติเขายึดถือแนวทางของอบูละฮับ สาเหตุของการประทานซูเราะฮฺ ท่านอิบนุอับบาส (รฎ.) กล่าวว่า เมื่อโองการ วะอังซิรฺ อะชีร่อตะกัลอักร่อบัยบ์ ได้ถูกประทานลงมาทำให้ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) มีหน้าที่เชิญชวนเครือญาติชั้นใกล้ชิดของท่านเข้าสู่อิสลาม (เป็นการเชิญชวนอย่างเปิดเผย) ในเวลานั้นท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้มาที่ภูเขาศ่อฟาและพูดเสียงดังว่า ยาศ่อบาฮา (ประโยคดังกล่าวเป็นคำพูดของอาหรับกลุ่มหนึ่งที่ได้กล่าวกันในสมัยหนึ่ง เป็นการปลุกให้ตื่นจากความพลั้งเผลอเมื่อศัตรูได้เข้าโจมตี เพื่อให้ทุกคนได้ทราบข่าวจะได้เตรียมพร้อมป้องกันและทำการยืนหยัดต่อสู้ต่อไป) เมื่อประชาชนมักกะฮฺได้ยินเสียงเรียกดังกล่าวได้พูดว่า ใครเป็นคนเรียก ? ได้มีผู้ตอบว่า มุฮัมมัด เป็นคนพูด พวกเขาจึงได้พากันไปหาท่านศาสดา ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า ถ้าฉันจะบอกพวกท่านว่าบัดนี้ศัตรูพร้อมม้าศึกได้เคลื่อนทัพมายังเขาศ่อฟาแล้ว และพร้อมที่จะโจมตีพวกท่าน พวกท่านจะเชื่อฉันไหม ? พวกเขาตอบว่า พวกเราไม่เคยได้ยินคำพูดโกหกจากท่านเลย ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า ฉันขอเตือนพวกท่านเกี่ยวกับการลงโทษอย่างรุนแรงจากพระผู้เป็นเจ้า และขอเชิญพวกท่านให้ละเว้นการเคารพบูชารูปปั้นทั้งหลายไปสู่การเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียว เมื่ออบูละฮับ ได้ยินคำพูดดังกล่าวได้พูดว่า ความหายนะและความตายจงประสบแก่เจ้าเถิด เจ้าคิดจะทำลายความเชื่อของพวกเราหรือ ? ในช่วงเวลานั้นเองซูเราะฮฺ มะสัดได้ถูกประทานลงมา นักอธิบายอัล-กุรอานบางท่านได้กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อภรรยาของอบูละฮับ (อุมมุญะมีล) รู้ข่าวว่าซูเราะฮฺดังกล่าวได้ถูกประทานลงมาให้นางกับสามี นางได้รีบมาหาท่านศาสดาทันทีขณะที่นางมองไม่เห็นท่านศาสดาและในมือได้กำก้อนหินไว้ พร้อมกับตะโกนว่า ฉันได้ยินว่ามุฮัมมัดได้กล่าวหาฉัน ถ้าฉันเจอเขาตอนนี้ฉันจะหินที่อยู่ในมือฟาดปากเขา ฉันก็เป็นนักกวีเหมือนกับเขา และนางได้แต่งบทกวีประณามอิสลามและท่านศาสดาทันที การทำตัวเป็นปรปักษ์และอันตรายที่เกิดจากอบูละฮับและภรรยาของเขาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านั้น หากพิจารณาจะเห็นว่าอัล-กุรอานได้กล่าวถึงพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของพวกเขาเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ผู้ทรงพระปรานี ผู้ทรงพระเมตตายิ่งเสมอ
تَبَّتْ يَدَا أَبِي لَهَبٍ وَتَبَّ
ทั้งสองของอบีละฮับจงพินาศ และเขาก็พินาศแล้ว ดังที่กล่าวไปแล้วในสาเหตุของการประทานซูเราะฮฺมะสัดว่า ตามความเป็นจริงแล้วซูเราะฮฺดังกล่าวนี้เป็นคำตอบให้กับคำพูดที่เลวร้ายของอบูละฮับ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เป็นบุตรของอับดุลมุฏ็อลลิบ เขาคือศัตรูตัวฉกาจของอิสลามและท่านศาสดา (ศ็อลฯ) นับตั้งแต่วันแรกที่ท่านศาสดาได้เริ่มประกาศคำสอนของอิสลามจนกระทั่งเขาได้อำลาจากโลกไป อัล-กุรอานได้ตอบคำพูดของชายผู้มีวาจาต่ำทรามว่า มือทั้งสองของอบีละฮับจงพินาศ และเขาก็พินาศแล้ว และพบกับความหายนะที่สุด ริวายะฮฺกล่าวว่า ได้มีชายคนหนึ่งนามว่า ฏอริก มะฮาริบีย์ พูดว่า ขณะที่ฉันอยู่ในตลาด ซิลมะญาซ (เป็นสถานที่อยู่ใกล้กับอาระฟาต ห่างจากมักกะฮฺเพียงเล็กน้อย) ฉันได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเขาได้พูดกับประชาชนว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย พวกท่านจงกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเถิด ทันใดนั้นฉันได้เห็นประชาชนไล่ขว้างปาเขาด้วยก้อนหินที่ศีรษะ และส้นเท้าจนส้นเท้าของเขาได้มีเลือดไหลออกมา พวกเขาได้ตะโกนใส่ชายหนุ่มคนนั้นว่า โอ้พวกเรา อย่าไปฟังเขา เขากำลังพูดโกหก อย่าไปเชื่อเขาเด็ดขาด ฉันได้ถามพวกเขาว่า ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร ? พวกเขาตอบว่า เขาคือมุฮัมมัด เขาได้เพ้อเจ้อ ว่าตัวเขาคือศาสดาส่วนชายผู้สูงอายุคนนี้คืออบูละฮับ เป็นลุงของเขาและได้พูดว่า เขา (มุฮัมมัด) พูดโกหก อีกริวายะฮฺหนึ่งกล่าวว่า ทุกครั้งเมื่อมีอาหรับต่างแดนเดินทางมามักกะฮฺพวกเขาจะไปพบกับอบูละฮับ และในฐานะเขาเป็นญาติกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) และมีอายุมากกว่าเขามักพูดจาดูถูกท่านศาสดาให้คนอื่นฟังเสมอ สิ่งที่เขาพูดเป็นประจำคือ มุฮัมมัดเป็นนักมายากล ซึ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นท่านศาสดา (ศ็อลฯ) มาก่อนได้คล้อยตามคำพูดของอบูละฮับและได้กลับไป บางกลุ่มที่มาเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากอบูละฮับพวกเขา พูดว่า พวกเราจะไม่ยอมกลับจนกว่าจะได้พบกับเขา (มุฮัมมัด) อบูละฮับพูดว่า ขณะนี้พวกเรากำลังจะหลงไปกับอาการประส่าท บ้าคลั่งของเขาแล้ว ขอความตายจงประสบแก่เขา จากริวายะฮฺดังกล่าวสามารถเข้าใจได้ว่า อบูละฮับเองก็ติดตามดูท่านศาสดาเหมือนกับเงาตามตัว เขาจึงไม่ละเว้นการขัดขวางท่านศาสดา (ศ็อลฯ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดที่ต่ำทรามและสกปรกอย่างยิ่งของเขาที่ได้ทิ่มแทงและเชือดเฉือนท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เองจะเห็นว่าตลอดอายุไขของอบูละฮับเขาได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านศาสดาและอิสลาม ดังนั้นอัล-กุรอานจึงได้กล่าวสาปแช่งเขากับภรรยาว่าจงประสบกับความพินาศและเขาได้ประสบเช่นนั้นจริงمَا أَغْنَى عَنْهُ مَالُهُ وَمَا كَسَبَ
ทรัพย์สมบัติของเขา และสิ่งที่เขาได้ขวนขวายไว้นั้นมิได้อำนวยประโยชน์แก่เขาเลย และการลงโทษจากพระผู้เป็นเจ้ามิได้ละเว้นสำหรับเขา
จากโองการเข้าใจได้ว่าอบูละฮับนั้นเป็นเศรษฐีและมีสมบัติมากมายเป็นคนยโสโอหัง และทระนงในทรัพย์สินของตนเอง มีความเพียรพยายามในการต่อต้านอิสลามสูง อัล-กุรอานกล่าวอีกว่า
سَيَصْلَى نَارًا ذَاتَ لَهَبٍ
เขาจะเข้าไปเผาไหม้ในนรกที่มีไฟลุกโชน
ถ้าชื่อของเขาคือ อบูละฮับ ชื่อของไฟนรกที่เผาไหม้เขาคืออบูละฮับเช่นกัน เป็นเปลวไฟที่ลุกโชนและยิ่งใหญ่มาก แน่นอนไม่ใช่อบูละฮับเพียงคนเดียวที่ถูกลงโทษในไฟนรก แต่บรรดาพวกปฏิเสธทั้งหลายพึงสังวรไว้เถิดว่า ทรัพย์สิน และฐานะภาพทางสังคมของพวกเขาไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้นจากไฟนรกและการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างแน่นอน ดังที่อัล-กุรอานกล่าวว่า (วันกิยามะฮฺ) วันที่ทรัพย์สมบัติและลูกหลานจะไม่อำนวยประโยชน์ได้เลย เว้นแต่ผู้มาหาอัลลอฮฺด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส (ชุอ์อะรอ /๘๘-๘๙) ริวายะฮฺกล่าวว่า หลังจากสงครามบะดัรฺ ซึ่งเป็นสงครามที่บรรดามุชริกีนกุเรชพ่ายแพ้อย่างย่อยยับที่สุด ในสงครามดังกล่าวอบูละฮับไม่ได้เข้าร่วมด้วย เมื่ออบูสุฟยานได้กลับถึงมักกะฮฺเขาได้ถามเรื่องราวจากอบูสุฟยาน อบูสุฟยานได้เล่าเรื่องราวความพ่ายแพ้ของบรรดามุชริกีนกุเรชที่มีต่อกองทัพของอิสลามให้ฟัง และได้พูดต่อว่าฉันขอสาบานต่อพระเจ้าว่า แท้จริงฉันได้เห็นกองทัพพร้อมม้าศึกได้กรีฑาทัพลงมาจากฟากฟ้าเพื่อช่วยมุฮัมมัด อบูรอฟีอ์ ซึ่งเป็นคนรับใช้คนหนึ่งของท่านอับบาส กล่าว ฉันได้นั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับยกมือขึ้นและพูดว่าพวกนั้นเป็นมลาอิกะฮฺมาจากฟากฟ้า อบูละฮับไม่สามารถทนฟังได้ประกอบกับจิตใจของเขาเป็นโรค เขาได้ตีฉันขณะนั้นภรรยาของท่านอับบาส (อุมมุฟัลฎ์)ได้เดินเข้ามาพอดี นางได้ใช้ไม้ฟาดศีรษะของอบูละฮับอย่างแรง และพูดว่า เจ้าผู้ชายขี้ขลาดคนนี้คนเดียวที่ชอบทำให้คนอื่นเขาหลงทาง ศีรษะของอบูละฮับได้แตกและมีเลือดไหลออกมา ต่อมาหลังจากนั้นเจ็ดวันบาดแผลของเขาได้ติดเชื้อ และมีเม็ดพลุพองขึ้นตามเนื้อตัวเต็มไปหมดคล้ายคนเป็นกาฬโรคและในที่สุดเขาได้ตายไปในสภาพเช่นนั้น อาการติดเชื้อของเขาอยู่ในขั้นรุนแรงถึงขนาดที่ว่าไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ศพของเขา ประชาชนต่างช่วยกันเอาน้ำฉีดศพในระยะที่ไกล ๆและเอาก้อนหินโยนใส่จนกระทั่งศพของเขาได้จมอยู่ใต้กองหินوَامْرَأَتُهُ حَمَّالَةَ الْحَطَبِ
ทั้งภรรยาของเขาด้วย นางเป็นผู้แบกฟืน
โองการข้างต้นได้กล่าวถึงสภาพภรรยาของอบูละฮับ (อุมมุญะมีล) กล่าวว่า ทั้งภรรยาของเขาด้วย นางเป็นผู้แบกฟืน (เชื้อเพลิงนรก)فِي جِيدِهَا حَبْلٌ مِّن مَّسَدٍ
ที่คอของนางมีเชือกถักด้วยใยอินทผลัม ภรรยาของอบูละฮับ เป็นน้องสาวของอบูสุฟยานและเป็นอาของมุอาวิยะฮฺ นางเป็นผู้ช่วยเหลือสามีในการต่อต้านอิสลามและท่านศาสดา (ศ็อลฯ) และไม่เคยละละการต่อต้านอิสลามแม้แต่นิดเดียว และการที่อัล-กุรอานกล่าวว่า นางเป็นผู้แบกฟืน บางคนกล่าวว่า เนื่องจากว่านางเป็นคนชอบแบกพุ่มไม้ไว้บนไหล่ และนำไปทิ้งขวางทางท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จนเท้าของท่านศาสดาต้องได้รับบาดเจ็บเสมอ