คุณค่าของนม
คุณค่าของนม
0 Vote
72 View
คุณค่าของนม นมเป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียมและโปรตีน ช่วยให้กระดูกเจริญเติบโตและแข็งแรง นมมีความสำคัญกับเด็กมากโดยเฉพาะเด็กในช่วงก่อนเข้าวัยรุ่นและช่วงวัยรุ่น เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายเจริญเติบโตเร็วมาก แคลเซียมช่วยให้เด็กมีความหนาแน่นของมวลกระดูกมากขึ้น พอเข้าสู่วัยรุ่น จะช่วยให้กระดูกยาวขึ้น ถ้าในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว ร่างกายเรามีการสะสมไว้เพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะแล้วยังช่วยในเรื่องของฟันอีกด้วย แต่ถ้าใครมีไม่เพียงพอ จะทำให้เสี่ยงต่อโรคกระดูกเปราะได้ง่าย ความจริง ประโยชน์ของแคลเซียมในน้ำนมไม่ได้มีแค่นั้น ยังทำหน้าที่ยืดหดของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ระบบประสาทไวต่อสิ่งเร้ามากขึ้น ช่วยให้เลือดแข็งตัว งานวิจัยระยะหลังออกมามากว่า แคลเซียมช่วยลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งขณะนี้ในหลายประเทศทั้งสหรัฐและยุโรป ศึกษาวิจัยกันมาก โดยใช้นมพร่องมันเนยให้กับเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในโปรแกรมลดน้ำหนัก โดยพบว่ากลุ่มเด็กที่ดื่มนมพร่องมันเนยสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ ได้ดื่มนม ทำให้เข้าใจว่าแคลเซียมมีผลต่อการใช้ไขมัน ซึ่งอยู่ในขั้นศึกษาอยู่ แต่พอสรุปได้ว่านมยังช่วยในเรื่องลดน้ำหนักอีกด้วย ทั้ง นี้ มีข้อมูลระบุว่า เด็กไทยตัวเตี้ยกว่ามาตรฐานสากลค่อนข้างเยอะ ถ้าอยากให้เด็กไทยเติบโตเต็มศักยภาพ พ่อแม่ผู้ปกครองควรให้ลูกหลานดื่มนมอย่างเพียงพอ เพราะนมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับเด็ก โดยเฉพาะนมจืด เพราะไม่เป็นปัญหาในเรื่องอ้วนและฟันผุ จากภาพรวมในรายงานของสำนัก งานวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร ระบุด้วยว่าคนไทยดื่มนม 12.3 ลิตรต่อคนต่อปี เทียบแล้วตกวันละ 33 ม.ล.หรือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ถือว่าค่อนข้างน้อย บางคนไม่ชอบดื่มนม เพราะดื่มแล้วไม่สบายท้อง ท้องเสีย จริงๆ แล้วคนอายุ 6 ขวบ ขึ้นไป น้ำย่อยที่จะย่อยน้ำตาลแลกโตสในนม ซึ่งอยู่ในทางเดินอาหารจะน้อยหรือแทบจะไม่มีแล้ว น้ำตาลจะถูกแบคทีเรียใช้ สร้างเป็นกรดขึ้นมา เกิดเป็นแก๊ส ทำให้ท้องเสีย ซึ่งเป็นปัญหาของคนที่ไม่ได้ดื่มนมต่อเนื่อง แต่คนที่ดื่มนมต่อเนื่องจะมีการปรับตัว ทำให้ไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการ ดังนั้น คนที่ดื่มนมแล้วมีอาการ จะมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนสูง จึงควรปรับมาดื่มนมหลังอาหารหรือดื่มปริมาณน้อยแต่ดื่มหลายๆ ครั้ง ให้ได้วันละ 1 แก้ว เพื่อไปชะลอไม่ให้กระดูกพรุนเร็วขึ้น ป็นผลไม้ที่มีรสชาติดี ทั้งรสหวาน เปรี้ยว มีขายทั่วไป ปลูกกันมากกว่า 5000 ปี สามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในเขตหนาว เขตกึ่งร้อนกึ่งหนาว และเขตร้อน ประโยชน์ต่อสุขภาพ องุ่น เป็นอาหารบำรุงร่างกายอีกชนิดหนึ่ง นอกจากจะมีคุณค่าทางอาหาร ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีหลายชนิด สารอาหารที่สำคัญ คือน้ำตาล และสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์อีกประมาณ 7-8 ชนิด น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโคส วิตามินซี นอกจากนี้ยังมีเหล็ก และแคล เซี่ยมองุ่นยังสามารถนำไปทำเหล้าองุ่น ซึ่งเป็นเหล้าบำรุง ส่วนเครือและราก ใช้เป็นยาขับลม ขับปัสสาวะ รักษาโรคไขข้ออักเสบ ปวดเอ็นกระดูก และมีฤทธิ์ระงับประสาท แก้ปวด แก้อาเจียนอีกด้วย การรับประทานองุ่นเป็นประจำ จะมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ บำรุงกำลัง คนที่ร่างกายผอมแห้ง แรงน้อย แก่ก่อนวัย ไม่มีเรี่ยวแรง ถ้ารับประทานองุ่นเป็นประจำ จะช่วยเสริมทำให้ร่างกายค่อยๆแข็งแรงขึ้นได้ องุ่น เป็นพืชล้มลุก มีลักษณะเป็นไม้เลื้อย เนื้อแข็ง มีกิ่งก้านเล็ก ต้องเลื้อยเกาะกิ่งไม้ ใบกลม ขอบหยักเว้าลึก 3 -7 พู โคนใบเว้าหัวใจ ดอกออกเป็นช่อแยกแขนง ดอกย่อยขนาดเล็กสีเขียว โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยก 5 กลีบ ผลออกเป็นพวง ผลย่อยรูปกลมรี ฉ่ำน้ำ ผิวมีนวลเกาะ รสหวาน มีสีเขียว ม่วงแดง และม่วงดำ แล้วแต่พันธุ์ มี 1-4 เมล็ด ประวัติการปลูก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มีการบ่งบอกว่ามีการปลูกองุ่นกันมามากกว่า 5000 ปี องุ่นสามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในเขตหนาว เขตกึ่งร้อนกึ่งหนาว และเขตร้อน สำหรับประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่านำเข้ามาในสมัยใด แต่พอจะคาดเดาได้ว่าน่าจะนำเข้ามาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระองค์ท่านได้นำพันธุ์ไม้แปลกๆ จากต่างประเทศที่ได้เสด็จประพาสมาปลูกในประเทศไทย และเชื่อว่าในจำนวนพันธุ์ไม้แปลกๆ เหล่านั้นน่าจะมีพันธุ์องุ่นรวมอยู่ด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 7 มีหลักฐานยืนยันว่าเริ่มมีการปลูกองุ่นกันบ้างแต่ผลองุ่นที่ได้มีรสเปรี้ยว การปลูกองุ่นจึงซบเซาไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 ได้เริ่มมีการปลูกองุ่นอย่างจริงจัง โดย หลวงสมานวนกิจ ได้นำพันธุ์องุ่นมาจากมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และปี พ.ศ. 2497 ดร.พิศ ปัญญาลักษณ์ ได้นำพันธุ์องุ่นมาจากทวีปยุโรปซึ่งสามารถปลูกได้ผลเป็นที่น่าพอใจ นับแต่นั้นมาการปลูกองุ่นในประเทศไทยจึงการแพร่หลายมากขึ้น ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร องุ่น มีสารอาหารที่สำคัญคือน้ำตาล และสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์ น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโคส วิตามินซี เหล็ก และ แคลเซี่ยม องุ่นยังสามารถนำไปทำเป็นเหล้าองุ่น ซึ่งเป็นเหล้าบำรุง ใช้เป็นยา การรับประทานองุ่นเป็นประจำ จะมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ บำรุงกำลัง คนที่ร่างกายผอมแห้งแรงน้อย แก่ก่อนวัย ไม่มีเรี่ยวแรง ถ้ารับประทานองุ่นเป็นประจำ จะช่วยเสริมทำให้ร่างกายค่อยๆแข็งแรงขึ้นได้ สรรพคุณทางยา ใช้ส่วนเครือและราก มีฤทธิ์ในการ ขับลม ขับปัสสาวะ รักษาโรคไขข้ออักเสบ ปวดเอ็น ปวดกระดูกและมีฤทธิ์ ระงับประสาท แก้ปวด แก้อาเจียนอีกด้วย การปลูกองุ่นในประเทศไทย ประเทศไทยมีการปลูก องุ่นในแถบภาคตะวันตก เช่น อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี อำเภอสามพราน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งสามารถให้ผลผลิตได้ดี แต่เกษตรกรบางรายได้เปลี่ยนจากองุ่นเป็นพืชอื่น เนื่องจากมีปัญหาโรคแมลงระบาดมาก และแมลงดื้อยาไม่สามารถกำจัดได้ ทำให้พื้นที่ปลูกองุ่นในแถบนี้ลดลง พื้นที่ปลูกองุ่นได้ขยายไปในแถบภาคกลางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้างเล็กน้อย แต่มีปัญหาเรื่องโรคแมลงระบาดมากทำให้พื้นที่ปลูกองุ่นไม่ค่อยขยายเท่าที่ควร พันธุ์องุ่นที่นิยมปลูก 1. พันธุ์ ไวท์มะละกา มี 2สายพันธุ์ คือ ชนิดผลกลมและผลยาว ลักษณะช่อใหญ่ยาว การติดผลดีผลมีสีเหลืองอมเขียว รสหวานแหลม เปลือกหนาและเหนียว ในผลหนึ่งๆ มี 1-2 เมล็ด ช่วงเวลาหลังจากตัดแต่งกิ่งจนเก็บผลได้ประมาณ 4 เดือนครึ่ง ปีหนึ่งให้ผลผลิต 2 ครั้ง ผลผลิตประมาณ 10-15 กิโลกรัม/ต้น/ครั้ง 2.พันธุ์คาร์ดินัล มีลักษณะช่อใหญ่ ผลดก ผลกลมค่อนข้างใหญ่ มีสีแดงหรือม่วงดำ รสหวาน กรอบ เปลือกบาง จึงทำให้ผลแตกง่ายเมื่อผลแก่ในช่วงฝนตกชุก ในผลหนึ่งๆ มีเมล็ด 1-2เมล็ด ช่วงเวลาหลังจากตัดแต่งกิ่งจนเก็บผลได้ใช้เวลา 3-3 เดือนครึ่ง ในเวลา 2 ปี สามารถให้ผลผลิตได้ถึง 5 ครั้ง ผลผลิตประมาณ 10-15 กิโลกรัม/ต้น/ครั้ง องุ่น ผลไม้ที่ออกรวมกันเป็นพวงย้อยห้อยระย้าสวยงาม รูปทรงใบหยักเว้า จัดเป็นพืชไม้เลื้อย เถาองุ่นจะใช้มือเลื้อยเกาะไปตามร้านที่สร้างขึ้นจนทั่ว องุ่นมีมากมายหลายพันธุ์ บางพันธุ์มีสีเขียว บางพันธุ์มีสีม่วง เป็นผลไม้รสหวาน บางพันธุ์มีรสหวานอมเปรี้ยว องุ่นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Vitis vinifera ปัจจุบันนี้ได้มีการปรับปรุงพันธุ์จนมีองุ่นไม่มีเมล็ด ซึ่งมีทั้งผลเล็ก และผลใหญ่ ทั้งสีเขียวและสีม่วง นิยมกินกันสดๆ องุ่นเป็นผลไม้ที่กระตุ้นกำลัง กระตุ้นความสดชื่นได้เร็ว เพราะน้ำตาลในองุ่นเป็นน้ำตาลธรรมชาติที่เกาะกันอย่างหลวมๆที่ให้พลังงาน ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เลย โดยไม่ผ่านขบวนการย่อยใดๆ น้ำองุ่นช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกายได้มากยิ่งขึ้น เมื่อใดก็ตามที่รับประทานอาหารมากเกินความจำเป็นของร่างกาย ดื่มน้ำองุ่นตามไปสักแก้ว ก็จะช่วยเผาผลาญอาหารที่เกินไปได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นการดีต่อร่างกาย เพราะเท่ากับเป็นการช่วยขจัดอาหารส่วนเกิน ในน้ำองุ่นนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ โดยเฉพาะองุ่นสดๆ จะมีแร่ธาตุครบถ้วน ทั้งแคลเซียมคลอไรด์ ทองแดง โฟลีน เหล็ก แมกนีเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม ซิลิคอนและซัลเฟอร์ น้ำองุ่นสดจึงช่วยล้างและสร้างเม็ดเลือด นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นตับให้ทำหน้าที่ฟอกเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ องุ่นเขียวและองุ่นม่วงในปริมาณ 100 กรัมให้พลังงานใกล้เคียงกันคือ องุ่นเขียวให้ 50 แคลอรี องุ่นม่วงให้ 60 แคลอรี มีแร่ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามิน A วิตามิน B1 วิตามิน B2 และไนอาซีนเหมือนกัน การเลือกซื้อองุ่นมาทำน้ำผลไม้นี้ ควรเลือกซื้อองุ่นสด ขั้วติดแน่น ไม่ช้ำ องุ่นเป็นผลไม้ที่ฉีดยาฆ่าแมลงเยอะ ก่อนนำมาคั้นต้องล้างน้ำนานๆจนสะอาด หรือใช้น้ำยาล้างผัก ผลไม้ ล้างจานจนหมดคราบขาวๆ องุ่นสีแดงแก่และสีม่วงแก่ มีรสชาติดีกว่าสีอื่นๆ สีสันน่ากิน ส่วนองุ่นสีเขียวจะให้สีน้ำคั้นออกสีเหลืองจาง ทั้งนี้ก็ขึ้นกับว่าผลองุ่นนั้นสุกมาก สุกน้อยแค่ไหน ถ้าน้ำองุ่นออกรสหวานมากเกินไปก็ให้เจือจางความหวานลง อย่างที่เรารู้กันการรับประทานผักและผลไม้จะช่วยป้องกันโรคภัย ไข้เจ็บได้หลายอย่าง โดยเฉพาะโรคเส้นโลหิตอุดตัน หรือ Stroke, โรคหัวใจ และโรคสมองฝ่อ หรือ Alzheimer’s disease งานวิจัยที่ว่านี้ เสนอแนะไว้ด้วยว่า ผลไม้และน้ำผลไม้ที่ควรให้ความสนใจกันเพราะมีโพลีเฟนนั่ล (Polyphenols) ซึ่งเต็มไปด้วยสาร anti-oxidant ที่ช่วยกำจัดอนุมูล อิสระ หรือ free radicals ที่เป็นอันตรายออกจากร่างกายได้ดีกว่าน้ำผลไม้อื่นๆนั้น คือ น้ำองุ่น นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ในสก๊อตแลนด์ ผู้ดำเนินการวิจัย เชื่อว่า น้ำองุ่นและน้ำผลไม้ที่มีสีม่วงเข้มเป็น น้ำผลไม้ที่ให้ประโยชน์ ได้มากที่สุด ศาสตราจารย์ Alan Crozier ผู้เชี่ยวชาญทางด้านชีวเคมีของพืช และโภชนาการสำหรับมนุษย์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัย บอกว่า น้ำผลไม้ที่มีสีม่วงเข้ม เช่น น้ำองุ่น น้ำแครนแบรี่ และน้ำทับทิม ทำงานได้ดีกว่าน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆ ในการขับอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย อนุมูลอิสระทำลายแซลล์ในร่างกายและเปิดโอกาสให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้ หลัก ฐานสนับสนุนคำกล่าวอ้างอยู่ในรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร Agriculture and Food Chemistry ซึ่งแสดงผลการวัดระดับสาร anti-oxidant ของน้ำผลไม้ยี่ห้อต่างๆ 13 ชนิด รวมทั้ง น้ำแอปเปิ้ล น้ำส้ม น้ำสัปปะรด น้ำมะเขือเทศ และน้ำองุ่น ผลปรากฏว่า น้ำองุ่นที่มีสีม่วงเข้ม มีสาร anti-oxidant มากกว่าใครเพื่อน ในขณะที่น้ำส้มมีสารดังกล่าวน้อยที่สุด ควร บอกกล่าวไว้ด้วยว่า งานวิจัยชิ้นนี้ ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสหกรณ์องุ่นแห่งชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มชาวไร่องุ่นอเมริกัน และเจ้าของคือ บริษัท Welch’s ผู้ผลิตน้ำองุ่นสีม่วง จากองุ่นพันธุ์ Concord ศาสตราจารย์ Alan Crozier ยืนยันว่า วัดสาร anti-oxidant ในน้ำ องุ่นสีม่วงได้มากกว่าน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆจริง ในขณะที่ผลการวิจัยยังระบุไว้ด้วยว่าน้ำผลไม้อื่นๆ อย่างเช่น น้ำแครนแบรี่ และน้ำทับทิม ก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ผู้นี้บอกว่า หรือจะดื่มไวน์แดง อย่าง Beaujolais ซึ่งวัดจำนวนและระดับของ polyphenols ได้มากเท่าๆกันก็ได้ ที่สำคัญก็คือ ต้องดื่มน้ำผลไม้สัปดาห์ละสามแก้วเป็นอย่างน้อย ส่วนจะดื่มอะไรนั้น มีทางเลือกหลายอย่างที่น่าสนใจ แทนที่จะดื่มน้ำผลไม้ชนิดเดียวซ้ำซากอยู่ทุกวัน สำหรับประโยชน์ของอินทผลัม มีอยู่ 2 ด้านคือ ด้านคุณค่าทางโภชนาการ เพราะอินทผลัมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมาก เช่น ซัลเฟอร์ เหล็ก โพแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม แมงกานีส และน้ำมันโวลาไดท์ เป็นต้น มีเส้นใยมาก ช่วยลดอาการท้องผูกและทำให้ย่อยง่าย รวมทั้งให้พลังงานสูง ทำให้ร่างกายที่อ่อนเพลียกลับมีกำลังวังชาเท่าเดิม นอกจากนี้ยังสามารถบำรุงกล้ามเนื้อมดลูกและสร้างน้ำนมแม่ด้วย อีก ด้านหนึ่งคือด้านการรักษาโรค อินทผลัมช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา ลดความหิว แก้กระหาย แก้โรควิงเวียนศีรษะ ช่วยลดเสมหะ ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังฆ่าเชื้อโรค พยาธิและสารพิษที่ตกอยู่ในลำไส้และระบบทางเดินอาหารเพราะอินทผลัมมีฤทธิ์ใน การกำจัดสารพิษและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคอันเป็นสารก่อมะเร็งใน ช่องท้องได้