ภาพลักษณ์ของอิมามมะฮ์ดี (อ.) จากมุมมองของอิรฟานอิสลาม
ภาพลักษณ์ของอิมามมะฮ์ดี (อ.) จากมุมมองของอิรฟานอิสลาม
Author :
โมฮัมหมัดอะมีน ซอเดกี อัรซะกานี
Persian Title :
ภาพลักษณ์ของอิมามมะฮ์ดี (อ.) จากมุมมองของอิรฟานอิสลาม

0 Vote
1 View
แหล่งที่มา: วารสาร มะอ์ริฟัต (Maʿrifat Quarterly), ฉบับที่ 70 คำสำคัญ: อิมามมะฮ์ดี, อิรฟานอิสลาม, คอลิฟะฮ์แห่งพระเจ้า, วิลายะฮ์, มนุษย์สมบูรณ์, ความยุติธรรมสากล, การเร้นกาย บทนำ แนวคิดเรื่องมะฮ์ดาวียะฮ์ (ความเชื่อเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี) เป็นหนึ่งในประเด็นที่สำคัญ ลึกซึ้ง และมีชีวิตชีวามากที่สุด ซึ่งได้รับความสนใจอย่างจริงจังจากบรรดานักอิรฟาน ผู้มีประสบการณ์แห่งการเปิดเผยและการหยั่งรู้ (กัชฟ์และชุฮูด) ตลอดมา ด้วยเหตุนี้ จึงมีการนำเสนอองค์ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี ซึ่งการถ่ายทอดองค์ความรู้เหล่านี้ นอกจากจะหล่อเลี้ยงสติปัญญา ความรู้ และความศรัทธาแล้ว ยังช่วยเติมเต็มหัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ด้วยแสงสว่าง ความรัก ความหวัง ความกระตือรือร้น พลังการเคลื่อนไหว ความมั่นคงทางศรัทธา และการนำทางสู่ความจริง เนื่องจากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดีจากมุมมองเชิงอิรฟานยังมีไม่มาก การนำเสนอภาพลักษณ์อันเจิดจรัสของท่านผ่านกระจกเงาแห่งอิรฟานอิสลาม จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นประโยชน์ และช่วยเสริมสร้างความตระหนักรู้แก่ผู้แสวงหาทางแห่งการรอคอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เยาวชนรุ่นใหม่ผู้ใฝ่ปัญญา 1. อิมามมะฮ์ดีและคอลิฟะฮ์แห่งพระเจ้า หนึ่งในประเด็นพื้นฐานที่สุดของแนวคิดมะฮ์ดาวียะฮ์คือเรื่อง คอลิฟะฮ์แห่งพระเจ้า (الخلافة الإلهية) เนื่องจากคอลิฟะฮ์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกล่าวถึงในอัลกุรอานว่า “แท้จริงเราจะตั้งผู้แทน (คอลิฟะฮ์) บนแผ่นดิน” (อัลบะเกาะเราะฮ์: 30) มิใช่เรื่องเฉพาะบุคคลหรือเหตุการณ์ชั่วคราว เช่น เรื่องเรือของนบีนูห์ หรือเรือของนบีมูซากับนบีคิฎร แต่เป็น การหลั่งไหลของพระคุณอย่างต่อเนื่อง ที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกด้วยเจตนาแห่งความยั่งยืน ดังนั้น คอลิฟะฮ์แห่งพระเจ้าจึงขยายจากขอบเขตของนบูวะฮ์และริซาละฮ์ ไปสู่ระดับของอิมามัต และด้วยเหตุนี้เอง นักอิรฟานจำนวนมากจึงให้ความสำคัญกับอิมามมะฮ์ดีในฐานะ คอลิฟะฮ์แห่งพระเจ้าในโลก นักอิรฟานบางท่านกล่าวว่า “โดยปราศจากข้อสงสัย พระผู้เป็นเจ้าทรงมีคอลิฟะฮ์ผู้หนึ่ง ซึ่งจะปรากฏขึ้นในวันหนึ่ง และแม้หากอายุของโลกจะเหลือเพียงวันเดียว พระองค์ก็จะทรงยืดวันนั้นออกไป เพื่อให้คอลิฟะฮ์แห่งพระองค์ ซึ่งมาจากเชื้อสายของท่านศาสนทูต และเป็นบุตรของฟาฏิมะฮ์ และมีชื่อเดียวกับศาสดา ได้ปรากฏตัว” นักอิรฟานอีกท่านหนึ่งอธิบายว่า เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงตนแก่บ่าวของพระองค์ และทำให้เขาดับสูญในพระองค์ ละตอฟะฮ์อิลาฮียะฮ์จะปรากฏขึ้นในตัวเขา หากละตอฟะฮ์นั้นเป็นเชิงสารัตถะ เขาจะเป็นมนุษย์สมบูรณ์ เป็นฆอวษญามิอ์ เป็นศูนย์กลางของการดำรงอยู่ และโลกทั้งมวลจะได้รับการคุ้มครองผ่านเขา บุคคลผู้นี้เองที่ถูกเรียกว่า “มะฮ์ดี” และเป็นคอลิฟะฮ์ของพระเจ้าในโลก จากถ้อยคำเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่า นักอิรฟานเน้นย้ำถึง สถานะคอลิฟะฮ์แห่งพระเจ้า ของอิมามมะฮ์ดีอย่างชัดเจน 2. อิมามมะฮ์ดีและวิลายะฮ์แห่งพระเจ้า แนวคิดเรื่อง วิลายะฮ์ (ولاية) มีขอบเขตกว้างขวางในอิรฟาน แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียงบางประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอิมามมะฮ์ดี หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ “อัลวะลีย์” เป็นหนึ่งในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่า “ดังนั้น อัลลอฮ์เท่านั้นคือผู้ทรงเป็นอัลวะลีย์” (อัชชูรอ: 9) ตามหลักอิรฟาน พระนามของพระเจ้าไม่เคยปราศจากผู้เป็นภาพสะท้อน (มะซอฮิร) ดังนั้น วิลายะฮ์จึงเป็นความจริงที่ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่สิ้นสุด แตกต่างจากนบูวะฮ์เชิงบัญญัติ ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยท่านศาสดามุฮัมมัด มุฮียุดดีน อิบนุ อะรอบี กล่าวว่า “วิลายะฮ์คือทรงกลมที่มีการโอบล้อมอย่างสมบูรณ์ และจะไม่สิ้นสุด ขณะที่นบูวะฮ์เชิงบัญญัติสิ้นสุดลงแล้วในศาสดาอิสลาม” นักอิรฟานบางท่านกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงคัดเลือกบุคคลสิบสองคนจากประชาชาติของท่านศาสดา และแต่งตั้งพวกเขาให้เป็นผู้แทนของท่าน โดยวิลายะฮ์สุดท้ายคืออิมามมะฮ์ดี ผู้เป็น คอเตมุลเอาลิยาอ์ (ผู้ปิดผนึกแห่งวิลายะฮ์) กอซานีกล่าวว่า “คอเตมแห่งวิลายะฮ์คือมะฮ์ดี ผู้จะปรากฏในปลายยุคสมัย บรรดานบีและวะลีย์ทั้งหลายต่างติดตามเขาในด้านสัจธรรมและความรู้” ดังนั้น หนึ่งในประเด็นหลักที่อิรฟานอิสลามให้ความสำคัญเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี คือ วิลายะฮ์แห่งพระเจ้า และการเป็นมะซฮัรของพระนาม “อัลวะลีย์” 3. อิมามมะฮ์ดีในโลก เปรียบเสมือนหัวใจในร่างกาย นักอิรฟานมองว่า อิมามมะฮ์ดีสำหรับโลกนั้น เปรียบเสมือนหัวใจสำหรับร่างกายมนุษย์ นัสฟีกล่าวว่า “มนุษย์สมบูรณ์มีหลายชื่อ ทั้งมะฮ์ดี อิมาม คอลิฟะฮ์ กุฏบ์ และซอฮิบุซซะมาน… สิ่งมีชีวิตทั้งมวลเปรียบเสมือนร่างเดียว และมนุษย์สมบูรณ์คือหัวใจของร่างนั้น โลกไม่อาจดำรงอยู่ได้โดยปราศจากหัวใจ” ดังนั้น เช่นเดียวกับที่ร่างกายไม่อาจมีหัวใจสองดวง โลกก็ไม่อาจมีอิมามสองคนในเวลาเดียวกัน และในยุคปัจจุบัน อิมามมะฮ์ดีคือศูนย์กลางของจักรวาลการดำรงอยู่ 4. อิมามมะฮ์ดีในฐานะสื่อกลางแห่งพระคุณ (วาซิฏอ์ ฟัยฎ์) นักอิรฟานเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงตนผ่านหัวใจของมนุษย์สมบูรณ์ และรัศมีแห่งการสำแดงนั้นแผ่ไปยังโลกทั้งมวล ระบบการดำรงอยู่ทั้งในด้านการเกิดและการคงอยู่ จึงพึ่งพาการดำรงอยู่ของมนุษย์สมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ ในซิยารัตญามิอะฮ์กะบีเราะฮ์ จึงกล่าวว่า “ด้วยพวกท่าน พระผู้เป็นเจ้าทรงเริ่มต้น และด้วยพวกท่าน พระองค์ทรงสิ้นสุด…” ในยุคปัจจุบัน อิมามมะฮ์ดีคือศูนย์รวมของหัวใจทั้งหลาย และเป็นสื่อกลางแห่งพระคุณของพระผู้เป็นเจ้าระหว่างฟากฟ้าและแผ่นดิน
5. อิมามมะฮ์ดีและความยุติธรรมสากล
ความยุติธรรมเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของแนวคิดมะฮ์ดาวียะฮ์ และในอิรฟาน ความยุติธรรมมิได้จำกัดเพียงด้านสังคมหรือเศรษฐกิจ แต่ครอบคลุมทุกมิติของมนุษย์
ก) ความยุติธรรมทางสังคมและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ
นักอิรฟานกล่าวว่า ในยุคของรัฐบาลอันทรงเกียรติของอิมามมะฮ์ดี โลกจะเต็มไปด้วยความยุติธรรม ความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์
ข) การปฏิรูปความคิดและความยุติธรรมทางวัฒนธรรม
การปรากฏของอิมามมะฮ์ดีจะนำไปสู่การฟื้นฟูสัจธรรมแห่งศาสนา ความสมดุลของปัญญา และการขจัดความเบี่ยงเบนทางความคิดทั้งมวล
อิมามโคมัยนีกล่าวว่า
“ผู้เดียวที่สามารถนำความยุติธรรมที่แท้จริงไปสู่มนุษยชาติทั้งหมดได้ คือมะฮ์ดีผู้ทรงถูกสัญญาไว้”
6. การประสูติและการเร้นกายของอิมามมะฮ์ดี
บรรดานักอิรฟานเห็นพ้องกันว่า อิมามมะฮ์ดีเป็นบุตรของอิมามฮะซัน อัสการี ประสูติในปีฮิจเราะฮ์ศักราช 255 และปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ในภาวะเร้นกาย
อัตตาร นีชาบูรีกล่าวว่า
“ท่านทั้งปรากฏและเร้นเร้นอยู่ในคราวเดียว”
7. อิมามมะฮ์ดี (อ.) ในฐานะขุมทรัพย์แห่งการดำรงอยู่
การเร้นกายของอิมามมะฮ์ดี (อ.) มีความลับซ่อนเร้นอยู่อย่างมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น ตัวการเร้นกายเองก็เป็นหนึ่งในความลับแห่งพระเจ้า ดังที่อิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก (อ.) ได้ตอบผู้ที่ถามถึงสาเหตุของการเร้นกายของอิมามมะฮ์ดีว่า
“เรื่องนี้เป็นกิจการหนึ่งจากพระผู้เป็นเจ้า เป็นความลับหนึ่งจากความลับของพระองค์ และเป็นสิ่งเร้นลับจากบรรดาสิ่งเร้นลับของพระองค์ และเมื่อเรารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงปรีชาญาณ เราก็ยืนยันได้ว่าการกระทำทั้งปวงของพระองค์ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งปัญญา แม้ว่าเหตุผลนั้นจะยังไม่ถูกเปิดเผยแก่เรา” (31)
ดังนั้น ประเด็นเรื่องการเร้นกายจึงเป็นทั้งกิจการและความลับแห่งพระเจ้า และเนื่องจากเรามีความรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งทรงเปี่ยมด้วยปรีชาญาณ เราจึงยอมรับได้ว่าการงานทั้งหมดของพระองค์ล้วนมีปัญญาเป็นพื้นฐาน แม้เหตุผลของมันจะไม่เป็นที่ประจักษ์แก่ใครก็ตาม
อย่างไรก็ตาม นักคิดและนักวิชาการศาสนา ภายใต้หน้าที่ทางวิชาการของตนซึ่งมุ่งค้นคว้าความจริงและองค์ความรู้แห่งพระเจ้า ต่างได้เสนอข้อสังเกตเกี่ยวกับความลับของการเร้นกายของอิมามมะฮ์ดีตามกรอบความคิดของตนเอง ในบรรดาความเห็นเหล่านั้น นักอิรฟานผู้ยิ่งใหญ่และนักปฏิรูปแห่งศตวรรษ คือท่านอิมามโคมัยนี (ขอพระเมตตาจงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวไว้ว่า
“ประเด็นการเร้นกายของมะฮ์ดีผู้ทรงถูกสัญญา เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง และสอนบทเรียนหลายประการแก่เรา หนึ่งในนั้นคือ สำหรับภารกิจอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ซึ่งจะมีการสถาปนาความยุติธรรมที่แท้จริงทั่วทั้งโลก ในบรรดามนุษยชาติทั้งหมด ไม่มีผู้ใดเลย นอกจากมะฮ์ดีผู้ทรงถูกสัญญา—ขอสันติจงมีแด่ท่าน—ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเก็บรักษาไว้เป็นขุมทรัพย์สำหรับมนุษย์ บรรดานบีทั้งหลายต่างมาเพื่อสถาปนาความยุติธรรมทั่วโลก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ… หากมะฮ์ดีก็จากไปเช่นเดียวกับวะลีย์ท่านอื่น ๆ มนุษยชาติก็จะไม่เหลือใครที่จะสามารถสถาปนาความยุติธรรมนี้ได้อีก ดังนั้น ท่านจึงเป็นผู้หนึ่งที่ถูกเก็บรักษาไว้สำหรับภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้” (32)
ถ้อยคำของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณและอิรฟานผู้นี้ เน้นย้ำโดยสรุปว่า อิมามมะฮ์ดี (อ.) ถูกปกปักรักษาไว้ในขุมทรัพย์แห่งการเร้นกาย ในฐานะ ขุมทรัพย์ของพระเจ้า เพื่อว่าในวันเวลาที่ถูกกำหนดตามปัญญาอันลึกซึ้งของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงปรากฏขึ้นเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้น และสถาปนาความยุติธรรมในทุกมิติแห่งการดำรงอยู่ของโลกและมนุษย์ พร้อมทั้งทำให้ความใฝ่ฝันของบรรดาผู้แทนพระเจ้าตลอดประวัติศาสตร์ ซึ่งคือการผลิบานของต้นไม้แห่งเอกภาพ (เตาฮีด) และความยุติธรรม บรรลุผลเป็นจริง และนำมนุษย์ไปสู่เส้นทางแห่งความจริงและความสมบูรณ์สูงสุด
ทั้งนี้ เนื่องจากตามทัศนะของนักอิรฟาน อิมามมะฮ์ดี (อ.) คือความเมตตาสากลแห่งพระเจ้า และเมื่อท่านปรากฏ ความแตกต่างและความหลากหลายทั้งหลายจะสลายไปภายใต้กฎเกณฑ์แห่งเอกภาพ ดังที่บรรดาผู้รู้บางท่านกล่าวว่า
“เช่นเดียวกับที่ศาสดาผู้ปิดผนึก (คอเตมุลอัมบิยาอ์) ได้เป็น ‘ความเมตตาแก่สากลโลก’ ด้วยการเป็นภาพสะท้อนของพระนาม ‘อัรเราะห์มาน’ ผู้ปิดผนึกแห่งบรรดาวะลีย์ก็เป็นภาพสะท้อนของความเมตตาสากลเช่นกัน และความผาสุกของโลกนี้และโลกหน้า จะจำกัดอยู่ในการติดตามท่านผู้นั้น และหลักการทั้งหลายจะตั้งมั่นเป็นรากฐาน และความแตกต่างอันเกิดจากความหลากหลายจะถูกขจัดไป ด้วยการปรากฏของกฎเกณฑ์แห่งเอกภาพ ดังที่ชัยคฺ ซะอ์ดุดดีน ฮะมูวีกล่าวว่า:
‘มะฮ์ดีจะไม่ปรากฏ จนกว่าแม้แต่จากสายรัดรองเท้าของเขา จะได้ยินความลับแห่งเตาฮีด’” (33)
ความหมายของถ้อยคำซะอ์ดุดดีน ฮะมูวี คือ อิมามมะฮ์ดี (อ.) ในฐานะห่วงโซ่สุดท้ายของบรรดาผู้ประกาศเอกภาพ ผู้เป็นภาระรวมของนบีและวะลีย์ทั้งหลาย และเป็นแก่นสารของจักรวาล ถูกเก็บรักษาไว้สำหรับวันที่การพัฒนาทางปัญญาของมนุษยชาติจะทำให้สภาพแวดล้อมพร้อมต่อการยอมรับเอกภาพอย่างสมบูรณ์ จนถึงขั้นที่การกล่าวถึงเตาฮีดจะได้ยินจากทุกสรรพสิ่งในจักรวาล
ในแหล่งอ้างอิงทางศาสนาบางแห่ง ก็ได้เรียกอิมามมะฮ์ดี (อ.) ว่าเป็นขุมทรัพย์แห่งพระเจ้า ดังที่มีคำกล่าวว่า
“…พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเก็บรักษาเจ้าสำหรับการช่วยเหลือศาสนา และการเชิดชูเกียรติของบรรดาผู้ศรัทธา” (34)
ในทิศทางเดียวกันกับแนวคิดที่ว่า อิมามมะฮ์ดีคือขุมทรัพย์ของโลกสำหรับการสถาปนาเมืองอุดมคติแห่งพระเจ้าและมนุษยชาติ ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันหนึ่ง บรรดานักคิดบางท่านได้เสนอข้อสังเกตอันลึกซึ้งว่า มนุษย์นับตั้งแต่ตั้งถิ่นฐานบนพื้นพิภพ ย่อมใฝ่ฝันถึงชีวิตสังคมที่เปี่ยมด้วยความสุขอย่างสมบูรณ์ และก้าวเดินไปด้วยความหวังว่าจะบรรลุวันนั้น หากความปรารถนานี้ไม่มีความเป็นจริงภายนอกรองรับ ย่อมไม่ฝังรากอยู่ในสำนึกของมนุษย์เลย เช่นเดียวกับที่หากไม่มีอาหาร ก็ย่อมไม่มีความหิว หากไม่มีน้ำ ก็ย่อมไม่มีความกระหาย และหากไม่มีการสืบพันธุ์ ก็ย่อมไม่เกิดแรงขับทางเพศ
ดังนั้น ตามกฎแห่งความจำเป็น อนาคตของโลกย่อมจะมาถึงวันที่สังคมมนุษย์เต็มไปด้วยความยุติธรรม อยู่ร่วมกันด้วยสันติภาพและความสงบ และมนุษย์จะจมอยู่ในคุณธรรมและความสมบูรณ์ โดยผู้นำของสังคมเช่นนั้น คือผู้ช่วยให้รอดแห่งโลก นั่นคือมะฮ์ดีผู้ทรงถูกสัญญา (อ.) (35)
เชิงอรรถ
-
อับดุลลอฮ์ ญะวาดี อามอลี, ตัฟซีร ตัสนีม, กุม, สำนักพิมพ์อิสรออ์, พ.ศ. 1380 (ฮ.ศ.ช.), เล่มที่ 3, หน้า 28.
-
มุฮียุดดีน อิบนุ อะรอบี, อัลฟุตูฮาต อัลมักกียะฮ์, เบรุต, ดาร ศอเดอร์, เล่มที่ 3, บทที่ 366, หน้า 327.
-
อับดุลกะรีม ญีลี, อัลอินซาน อัลกามิล ฟี มะอ์ริฟะฮ์ อัลเอาวาคิร วัลเอาวาอิล, พิมพ์ครั้งที่ 15, อียิปต์, สำนักพิมพ์มุศเฏาะฟา อัลบาบี อัลฮะลาบี, หน้า 72.
-
อิมามโคมัยนี, ตะอ์ลีกะฮ์ อะลา อัลฟุศูศ อัลฮิกัม, สถาบันปาสดาร อิสลาม, ฮ.ศ. 1410, หน้า 26.
-
มุฮียุดดีน อิบนุ อะรอบี, ชัรห์ กอยศอรี อะลา ฟุศูศ อัลฮิกัม, พิมพ์หิน, กุม, สำนักพิมพ์บีดาร, ฟัศซ์ อะซีซี, หน้า 308.
-
อะซีซุดดีน นัซฟี, อินซาน กามิล, บทความ “นบูวะฮ์และวิลายะฮ์”, พิมพ์ครั้งที่ 4, เตหะราน, ห้องสมุดซุฮูรี, พ.ศ. 1377, บทที่ 6, หน้า 320.
-
อับดุรรอซซ๊าก กอซานี, ชัรห์ ฟุศูศ อัลฮิกัม, กุม, บีดาร, พ.ศ. 1370, ฟัศซ์ ชีซี, หน้า 42.
-
ผู้เขียนเดียวกัน, อิศเฏาะลาฮาต อัศศูฟียะฮ์, พิมพ์ครั้งที่ 2, กุม, บีดาร, พ.ศ. 1370, หมวดอักษร “คอ”, หน้า 158.
-
มุฮัมมัด ฟัยยาซ ลาฮีญี, มะฟาติฮ์ อัลเอีย์ญาซ ฟี ชัรห์ กุลชัน รอซ, เตหะราน, พ.ศ. 1371, หน้า 315.
-
อัลฟุตูฮาต อัลมักกียะฮ์, เล่มที่ 3, บทที่ 366.
-
อินซาน กามิล, คำนำบทที่ 2, หน้า 75.
-
ซัยยิด ไฮดัร อามอลี, นัศศุนนุศูศ ฟี ชัรห์ ฟุศูศ อัลฮิกัม, สำนักพิมพ์ตูส, พ.ศ. 1367, เล่มที่ 1, หน้า 255.
-
อับดุรเราะห์มาน ญามี, นักด์ อันนุศูศ ฟี ชัรห์ นักช์ อัลฟุศูศ, สำนักพิมพ์การศึกษาและการวิจัยทางวัฒนธรรม, พ.ศ. 1370, หน้า 89.
-
ชัยคฺ อับบาส กุมมี, มะฟาติฮ์ อัลญินาน, ซิยารัต “ญามิอะฮ์ กะบีเราะฮ์”.
-
แหล่งเดียวกัน, ดุอาอ์ “นะดะบะฮ์”.
-
แหล่งเดียวกัน, ดุอาอ์ “อะดีละฮ์”.
-
อัลฟุตูฮาต อัลมักกียะฮ์, เล่มที่ 3, บทที่ 366, หน้า 332.
-
อะซีซุดดีน นัซฟี, มักศ็อด อักศอ, บทที่ 5, หน้า 245.
-
มุฮียุดดีน อิบนุ อะรอบี, มะนากิบ, อรรถาธิบายโดยซัยยิด ศอเลห์ คอลคอลี, หน้า 133.
-
อิมามโคมัยนี, รวมบทกวี, สถาบันจัดพิมพ์และเผยแพร่งานของอิมามโคมัยนี, พ.ศ. 1378, กอศีดะฮ์ บะฮารีเยะฮ์, หน้า 26.
-
อ้างจาก: อินซาน กามิล, บทความ “นบูวะฮ์และวิลายะฮ์” และ “วะฮ์ย์และอิลฮาม”, บทที่ 6, หน้า 32.
-
อัลอินซาน อัลกามิล ฟี มะอ์ริฟะฮ์ อัลเอาวาคิร วัลเอาวาอิล, เล่มที่ 2, บทที่ 61, หน้า 84.
-
อัลฟุตูฮาต อัลมักกียะฮ์, เล่มที่ 3, บทที่ 366, หน้า 327.
-
มะห์มูด ชับสตะรี, กันซุลฮะกออิก, หน้า 58.
-
ยะนาบีอ์ อัลมะวัดดะฮ์, สำนักพิมพ์ดาร อัลกุตุบ อัลอิรอกียะฮ์, ฮ.ศ. 1380, บทที่ 71, หน้า 429.
26–27) อัลฟุตูฮาต อัลมักกียะฮ์, เล่มที่ 3, บทที่ 366, หน้า 327 และ 336.
-
อิมามโคมัยนี, เศาะฮีฟะฮ์ นูร, สถาบันจัดพิมพ์และเผยแพร่งานของอิมามโคมัยนี, พ.ศ. 1378, เล่มที่ 12, หน้า 208.
-
อับดุลวะฮาบ ชะอ์รอนี, อัลยะวากีต วัลญะวาฮิร, เล่มที่ 2, ประเด็นที่ 5, หน้า 422.
-
ยะนาบีอ์ อัลมะวัดดะฮ์, หน้า 472, บทที่ 87; อ้างจาก ฟะรีดุดดีน อัฏฏอร นีชาบูรี, มะซะฮัร อัลอะญาอิบ, คำนำโดย ฟัตฮุลลอฮ์ คาน ชีบานี, พิมพ์หิน, เตหะราน, พ.ศ. 1323.
-
ชัยคฺ ศอดูก, กะมาลุดดีน วะ ตะมามุนเนียะฮ์, ดาร อัลฮะดีษ, พ.ศ. 1380, เล่มที่ 2, บทที่ 44, หน้า 235.
-
เศาะฮีฟะฮ์ นูร, เล่มที่ 12, หน้า 208.
-
มะฟาติฮ์ อัลเอีย์ญาซ ฟี ชัรห์ กุลชัน รอซ, หน้า 317.
-
มะฟาติฮ์ อัลญินาน, ซิยารัต “ศอฮิบุลอัมรฺ”.
-
ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุเซน ฏอบาฏอบาอี, ชีอะฮ์ในอิสลาม, กุม, สำนักพิมพ์อิสลามี, พ.ศ. 1373, หน้า 221.
-
อัลฟุตูฮาต อัลมักกียะฮ์, เล่มที่ 3, บทที่ 367, หน้า 328.
-
แหล่งเดียวกัน, หน้า 366.
-
ชัยคฺ บะฮาอี (มุฮัมมัด บิน ฮุเซน อามิลี), กิตาบ อัลอัรบะอีน, สำนักพิมพ์มักตะบะฮ์ ศอบิรี, พ.ศ. 1337, หะดีษที่ 36, หน้า 221.
-
ฮาฟิซ ชีรอซี, ดีวาน, หน้า 172.
-
มะฟาติฮ์ อัลญินาน, ดุอาอ์ “อิฟติเตาะห์”.


