อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.)
อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.)
0 Vote
109 View
อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.)
ชื่อ ญะอฺฟัร
ฉายานาม อัซซอดิก
สมมัญญานาม อบูญะอฺฟัร
ชื่อบิดา อัลบากิร (อ.)
ชื่อมารดา อุมมุฟัรวะฮฺ
เกิดเมื่อ 17 เราะบิอุลเอาวัล ฮ.ศ. 80
สถานที่เกิด เมืองมะดีนะฮฺมุเนาวะเราะฮฺ
วายชน 25 เชาวาล ฮ.ศ. 148
สุสาน อัล บะกีอฺ มะดีนะฮฺ มุเนาวะเราะฮฺ
การถือกำเนิด
ท่านอิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) เกิดเมื่อวันที่ 17 เราะบิอุลเอาวัล ฮ.ศ 80 ที่เมืองมะดีนะฮฺ อัล มุเนาวะเราะฮฺ บิดาคือ ท่านอิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) มารดารคือ ท่านหญิง อุมมุฟัรวะฮฺ บุตรสาวของกอซิม บิน อบูบักรฺ เคาะลิฟะฮฺที่ 1
อิมามซอดิก (อ.) ได้กล่าวถึงมารดาของตนไว้ว่า มารดาของข้าพเจ้าเป็นผู้มีความศรัทธา มีความสำรวมตนต่อพระเจ้า และมีความประพฤติดีงาม อัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ประพฤติดี
อิมามญะอฺฟัร (อ.) ได้ชีชีวิตอยู่กับท่านอิมามซัจญาด (อ.) ผู้เป็นปู่นานถึง 15 ปี และอยูกับท่านอิมามบากิร (อ.) ผู้เป็นบิดานานถึง 34 ปี
ผู้คนทั้งหลายเรียกขานท่านฉายานามหลายอย่างเช่น อัซซอบิร (ผู้มีความขันติ) อัลฟาฎิล (ผู้มีเกียรติ) อัฏฏอฮิร (ผู้สะอาด) แต่ที่รู้จักกันจนเป็นที่แพร่หลายมากที่สุดก็คือ อัซซอดิก (ผู้สัจจะ) ฉายานามทั้งหมดล้วนเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงบุคลิกภาพทานด้านจริยธรรม และวิถีการดำเนินชีวิตที่ดีงามของท่านอิมาม (อ.) ทั้งสิ้น
เมื่ออิมามฮุซัยนฺ (อ.) ได้พลีชีพแล้ว ความอธรรมต่างๆ ที่ผู้ปรกครองในตระกูลอุมัยยะฮฺได้กรทำต่อบรรดามุสลิม เป็นสาเหตุทำให้อำนาจการปกครองของพวกเขาต้องเสื่อมและล่มสลาย และเปิดทางให้กับผู้ปกครองในตระกูลอับาซียะฮฺ ซึงหลอกลวงประชาชนโดยพวกเขาประกาศเชิญชวนให้ประชาชนสนับสนุนบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) แต่หลังจากพวกเขาได้อำนาจมาอยู่ในมือได้ไม่นาน ก็กลับกลายเป็นศัตรูที่ร้ายกาจของอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ทันที
อิมามซอดิก (อ.) ได้ใช้ชีวิตอยู่กับความอยุติธรรมของวงศ์อุมัยยะฮฺเป็นเวลานานมากกว่า 40 ปี และยังได้ใช้ชีวิตอยู่ใสมัยการปกครองของวงศ์อับาซซียะฮฺอีกมากกว่า 20 ปี เป็นการดำเนินชีวิตที่ห่างไกลจากบทบาททางการเมืองอย่างสิ้นเชิง เพื่อปลูกฝังหลักการศรัทธาให้มั่นคงในจิตใจของผู้คนทั้งหลาย อิมามซอดิก (อ.) ยังได้เผยแผ่จริยธรรม และหลักความเชื่อของอิสลามในสมัยที่หลักความเชื่อที่ปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้า และความเชื่อที่บิดเบือนกำลังแพร่ระบาด อิมามซอดิก (อ.) ได้ยืนหยัดต่อสู้กับพวกปฏิเสธพระเจ้าและพวกไร้ศาสนา และในสมัยของ่านนั้นเองที่มัซฮับอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ได้แพร่ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง
จริยธรรมและบุคลิกภาพ
ซัยดฺ บุตรของอลี นักปฏิวัติสังคมผู้มีเชื่อเสียงกล่าวว่า ทุกสมัยจะมีบุรุษคนหนึ่งจากพวกเรา อะฮฺลุลยัยตฺ เป็ผู้ที่อัลลอฮฺ ทรงทำเป็นข้อพิสูจน์แก่ปวงบ่าวของพระองค์เสมอ และข้อพิสูจน์สำหรับยุคสมัยของเราก็คือบุตรของพี่ชายของข้าพเจ้านั่นเอง ญะอฺฟัร อัซซอดิก บุตรของมุฮัมมัดบากิร แน่นอน คนที่ปฏิบัติตามเขาจะไม่หลงผิด และคนที่ขัดแย้งกับเขาจะไม่ได้รับทางนำ
มาลิก บุตรของอนัส อิมามมัซฮับมาลิกี ได้กล่าวถึงท่านว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ สายตาของข้าพเจ้ายังไม่เขยเห็นใครเหนือกว่าญะอฺฟัร บินมุฮัมมัด ในด้านความสมถะ มีเกียรติ เคร่งครัดในการเคารพภักดีและสำรวมตน ข้าพเจ้าเคยมุ่งไปหาท่าน ท่านได้ให้เกียรติและจูบข้าพเจ้า
อบูฮะนีฟะฮฺ อิมามมัซฮับ ฮะนะฟี เคยเป็นศิษย์ของท่านอิมามซอดิก (อ.) สองปี อบูฮะนีฟะฮฺกล่าวว่า หากไม่มีสองปีนี้แน่นอน นุอฺมาน (อบูฮะนีฟะฮฺ) ต้องพินาศแน่นอน
สหายของท่านอิมามซอดิก (อ.) คนหนึ่งกล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยอยู่ที่เมืองมะดีนะฮฺกับอบูอับดุลลอฮฺ (หมายถึงอิมามซอดิก) ขณะทีท่านขี่ลาของท่าน เมื่อเราไปถึงใกล้ตลาด อิมามซอดิก (อ.) ได้ลงจากหลังลา แล้วก้มกราบ (สุญูด) ต่ออัลลอฮฺท่านอยู่ในท่าสุญูดนาน ส่วนข้าเจ้าก็รอยู่ แล้วท่านก็เงยศีรษะขึ้นข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าอุทิศตนเป็นผู้รับใช้ท่าน เมื่อสักครู่นี้ท่านลงจากหลังลาแล้วสุญูดเป็นเวลานานเป็นเพราะอะไร อิมามซอดิก (อ.) ตอบว่า เพราะว่าฉันรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺทีทรงประทานให้แก่ฉัน ดังนั้น ฉันจึงสุญูดด้วยความขอบคุณต่อพระองค์
สหายของอีกท่านหนึ่งของท่านกล่าวว่า ข้าเจ้าเคยเห็นอบูอับดุลลอฮฺ (อ.) ถือพลั่วไว้ในมือ แล้วนุ่งผ้าอย่างรัดกุม ท่านกำลังทำงานในสวนของท่านอยู่ แถมมีเหงื่อไหลออกมาจนเปียกโชก ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวกับท่านว่า ข้าพเจ้าได้ถูกกำหนดมาเพื่อรับใช้ท่าน โปรดยื่นพลั่วมาให้ข้าเจ้าเพื่อช่วยเหลือท่านในการทำงานเถิด ท่านได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า แม้จริงฉันชอบที่เป็นคนทนทุกข์กับความร้อนของแสงแดดในการทำงานเลี้ยงชีพ
วันหนึ่งท่านอิมามซอดิก (อ.) ได้ส่งคนรับใช้ไปทำธุระบางอย่าง แต่เขาได้ล่างช้ามาก ดังนั้น อิมาม (อ.) จึงออกไปตามหาและพบว่าเด็กรับใช้คนนั้นกำลังหลับอยู่ ดังนั้น อิมาม (อ.) จึงนั่งโบกลมให้เขาท่งด้านศีรษะ จนกระทั่งเขาตื่นอิมาม (อ.) จึงกล่าวด้วยความเมตตาว่า เจ้านอนทั้งกลางวันและกลางคืนเชียวหรือ กลางคืนเป็นสิทธิของเธอที่จะนอนพักผ่อน ส่วนกลางวันเป็นสิทธิของเราที่เธอจะต้องทำงาน
ท่านอิมาม (อ.) ได้ว่าจ้างคนมาทำสวน ครั้นเลิกงานแล้วอิมามซอดิก (อ.) ได้สั่งแก่มุอฺตัมคนรับใช้ว่า จงมอบค่าจ้างให้คนเหล่านั้นก่อนที่เหงื่อของพวกเขาจะแห้ง
ในยามค่ำคืน ท่านอิมาม (อ.) จะจัดการนำกระสอบที่บรรจุขนมแป้งสาลี เนื้อและเงินดิรฮัมมา แล้วแบกขึ้นย่าเพื่อนำไปแจกจ่ายชาวเมืองมะดีนะฮฺผู้มีความเดือดร้อน ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่รู้จักท่านเลย และเมื่ออิมามซอดิก (อ.) สิ้นชีวิต พวกเขาก็ไม่พบเห็นที่ทำเช่นนั้นอีกเลย เมื่อนั้นเองผู้คนจึงรู้ว่าบุคคลที่แบกสิ่งของนำมาแจกจ่ายแก่พวกตนในยามค่ำคืนก็คือ ท่านอิมามญะอฺฟัรอัซซอดิก (อ.) นั่นเอง
อิมามซอดิก (อ.) กับซุฟยาน อัซเซารียฺ
ครั้งหนึ่งซุฟยาน อัซเซารียฺ เดินผ่านมาในมัสญิดอัลฮะรอม เขาได้เหลือบไปเป็นท่านอิมาม (อ.) ซึ่งกำลังอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่มีราคาแพงสวยหรู เขากล่าวทันทีว่า ขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ฉันจะขอต่อว่าเดี๋ยวนี้ แล้วเขาก็ขยับเขาไปใกล้อิมามซอดิก (อ.) พลางกล่าวว่า
โอ้ บุตรของศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ นีมันมิใช่ชุดต่างกายของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ และมิช้าชุดแต่งกายของท่านอิมามอะลี บุตรของอบูฏอลิบ และมิใช่ชุดของคนใดที่เป็นบรรพบุรุษของท่านเลย
อิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) อยู่ในยุคของคนจน แต่อยู่ในยุคของคนรวย ผู้มีคุณธรรมนั้นย่อมมีสิทธิ์ในการครองครองสิ่งที่เป็นความโปรดปรานของอัลลอฮฺมากกว่าคนอื่น จากนั้นอิมามซอดิก (อ.) ได้อ่านพระดำรัสของผู้ทรงสูงส่งว่า จงกล่าวเถิดใครกันที่ห้ามเครื่องประดับของอัลลอฮฺ และปัจจัยยังชีพที่พระองค์ทรงประทานลงมาแก่เจ้า (อะอฺรอฟ / 32)
อิมามซอดิก (อ.) ได้กล่าวว่า ดังนั้น เราจึงมีสิทธิที่จะรับเอาสิ่งเหล่านี้ อันเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานมาให้ หลังจากนั้นท่านอิมาม (อ.) ก็ได้เลิกชายผ้านั้นขึ้น ปรากฏว่าเสื้อชั้นในเป็นชุดธรรมดา ท่านอิมามได้กล่าวว่า โอ้ เชารียฺ ชุดข้างนอกที่เจ้าเห็นอยู่นี้เป็นชุดสำหรับคนทั้งหลาย ส่วนชุดนี้เป็นของฉันจริง
อิมาม (อ.) กับการค้าขาย
อิมามซอดิก (ป.) ได้เรียกคนใช้คนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า มุซอดิฟ มาพบและมอบเงินจำนวน 1000 ดีนาร ให้ไปค้าขาย อิมามได้สั่งเขาว่า จงเตรียมเสบียงให้พร้อมเพื่อการเดินทางไปขายสิ้นค้าที่อียิปต์ ส่วนฉันเองไปด้วยไม่ได้ เพราะมีสมาชิกในครอบครัวที่ต้องดูและหลายคน มุซอดิฟก็ลงมือจัดแจงเตรียมสิ้นค้า แล้วออกเดินทางพร้อมกับกองคาราวานสิ้นค้าของพ่อค้ากลุ่มหนึ่งที่จะไปอียิปต์ ในระหว่างทางกองคาราวานของพ่อค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่เดินทางกลับจากอียิปต์ มาพบกับพวกเขาเข้า พวกเขาจึงถามพ่อค้ากลุ่มนั้นว่า สิ้นค้าอะไรบ้างซึ่งเป็นที่ต้องการของประชาชนที่นั้น พ่อค้าเหล่านั้นก็บอกว่า ที่อียิปต์ไม่มีสิ้นค้าอะไรสักอย่างเดียว ดังนั้น พ่อค้ากลุ่มที่กำลังจะนำสิ้นไปขายยังอียิปต์ และมุซดิฟก็ตกลงกันว่าจะโก่งราคาสินค้าที่กำลังจะไปไปขาย ครั้นเมื่อไปถึงอียิปต์พวกเขาขายสินค้าบวกกำไรอีกหนึ่งเท่าตัว เมื่อขายหมดแล้วจึงเดินทางกลับมะดีนะฮฺ
มุซอดิฟ ได้เข้าไปพบอิมามซอดิก (อ.) พร้อมกับถุงเงินสองถุง แต่ละถุงบรรจุเงิน 1000 ดีนาร เขาบอกกับอิมามว่า โอ้ นายทานถึงนี้เป็นต้นทุน ส่วนถึงนี้เป็นกำไร
อิมาม (อ.) ถามด้วยความประหลาดใจว่า ทำไมกำไรจึงมากมายขนาดนี้
มุซอดิฟ ได้เล่าเรื่องความต้องการสิ้นค้าดังกล่าวของประเทศอียิปต์ให้อิมามฟัง และเล่าด้วยว่าพวกพ่อค้าได้ตกลงกันว่าจะฉวยโอกาสจากความต้องการของคนอียิปต์ในคราวนี้ และพวกเขาได้ตกลงระหว่างกันว่าจะบวกกำไรหนึ่งเท่าตัวของสินค้า อิมามซอดิก (อ.) รู้สึกเสียใจมากจึงกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจว่า มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่อัลลอฮฺ พวกเจ้าตกลงกันที่จะเอาเปรียบมุสลิมว่าจะไม่ขายสินค้าให้พวกเขา เว้นเสียแต่จะต้องได้กำไรดีนารต่อดีนารเชียวหรือ
อิมามซอดิก (อ.) จึงรับคืนเฉพาะต้นทุนเท่านั้น แล้วกล่าวว่า นี่คือส่วนที่เป็นเงินของเรา และไม่มีความจำเป็นอันใดสำหรับที่จะเอากำไรกับเรื่องนี้ ต่อจากนั้นอิมามซอดิก (อ.) ยังได้กล่าวอีกด้วยว่า โอ้ มุซอดิฟเอ๋ย การต่อสู้กับคามดาบนั้น ยังดูง่ายดายยิ่งกว่าการแสวงหาทรัพย์สินที่อนุมัติเสียอีก
มีคนยากจนรายหนึ่งมาขอบริจาคจากท่านอิมามซอดิก (อ.) ท่านจึงถามคนรับใช้ว่า ที่เจ้ามีเงินอยู่เท่าไหร่
คนรับใช้ 400 ดิรฮัมขอรับ
อิมามซอดิก (อ.) จงให้เขาไปทั้งหมด เมื่อคนยากจนรับแล้วก็อำลาไปด้วยความขอบคุณ
สักครู่หนึ่งอิมามซอดิก (อ.) ได้สั่งคนรับใช้ว่า จงเรียกเขากลับมาก่อน
เมื่อกลับมาถึงคนยากจนก็ได้ถามความประหลาดใจว่า เมื่อข้าพเจ้าขอจากท่าน ท่านก็ได้ให้ข้าพเจ้า แล้วหลังจากนั้นยังมีอะไรอีก
อิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เคยสอนว่าทานบริจาคที่ดีนั้นคือ การทำให้มีการเพียงพออยู่ตลอดไป และแท้จริงเมื่อครู่นี้ฉันยังมิได้ทำให้ท่านพอเพียง ดังนั้น จงรับแหวนวงนี้ไปด้วยเถิด ซึ่งมันมีราคาถึง 10,000 ดิรฮัม ครั้นถ้าหากท่านมีความจำเป็นก็จงขายไปในราคานี้
การทำความดีกับมารดา
มีชายชาวคริสต์คนหนึ่งได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม แล้วได้มาหาท่านอิมามซอดิก (อ.) แล้วอิมามก็ได้เชื้อเชิญให้เข้าไปหา แล้วกล่าวกับเขาว่า ลูกเอ๋ย จงถามมาเถิดในสิ่งที่ลูกต้องการจะถาม
ขายหนุ่มกล่าวว่า ทั้งบิดามารดาของข้าพเจ้า และภรรยาของข้าพเจ้าก็ยังเป็นคริสเตียนอยู่ โดยเฉพาะมารดานั้นสายตาพร่ามัว สวนข้าพเจ้าก็ยังอาศัยอยู่กับเขา และรับประทานอาหารในภาชนะของพวกเขา
อิมามซอดิก (อ.) พวกเขากินสุกรหรือไม่
ชายหนุ่ม มิได้
อิมามซอดิก (อ.) จงรับประทานร่วมกับพวกเขาต่อไป และฉันขอสั่งเสียเจ้าเกี่ยวกับมารดาของเจ้าว่า อย่าได้บกพร่องในการกระทำดีต่อนาง และเจ้าจงเป็นผู้รับภาระในกิจการของนาง
ชายหนุ่มคนนั้นได้กลับไปยังเมืองกูฟะฮฺ เมื่อมารดาได้แลเห็นมารยาทที่ดีงามของเขาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ถามว่า ลูกเอ๋ย ทำไมลูกไม่เคยปฏิบัติกับแม่อย่างนี้ ในขณะที่ลูกยังอยู่ในศาสนาของแม่ อะไรทำให้แม่เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ นับแต่เจ้าได้ออกจากศาสนาของเราไป แล้วเข้านับถือศาสนาอิสลาม
ชายหนุ่ม บุตรหลานคนหนึ่งของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้สอนลูกเช่นนี้ครับแม่
มารดา เขาเป็นศาสดาด้วยหรือ
ชายหนุ่ม ไม่ใช่หรอก แต่ท่านเป็นลูกหลานของท่านศาสดา
มารดา ถ้าเช่นนั้นศาสดาของลูกก็ต้องเป็นศาสดาที่ดีที่สุด จงแนะนำให้แม่รู้จักศาสนานี้ด้วยเถิด
แล้วลูกชายก็ได้แนะนำให้มารดาของเขาเข้าใจศาสนาอิสลาม ครั้นแล้วนางก็ยอมรับ จากนั้นลูกชายก็ได้สอนให้นางนมาซ
อิมามซอดิก (อ.) กับชีวิตอันจำเจ
อิมามซอดิก (อ.) เคยกล่าวว่า การให้ชีวิตจำเจอยู่กับความอิ่มเอิบนั้น ให้มีติดต่อกันได้ไม่เกิน 40 วัน ส่วนการให้ชีวิตจำเจอยู่กับความเดือดร้อนและการทดสอบอันขมขื่นนั้นให้มีติดต่อกันได้ไม่เกิน 3 วัน ฉะนั้น ถ้าอยู่ในความอิ่มเอิบเกิน 40 วัน ถือว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ถูกสาปแช่ง และถ้าอยู่ในความขัดสนเกิน 3 วัน ก็ถือว่าคนผู้นั้นเป็นคนถูกสาปแช่งเช่นกัน
ในภาวะที่ความต้องการของประชาชนมีสูง อิมามซอดิก (อ.) ได้สั่งคนรับใช้ของท่านว่า จงไปซื้อข้าวบาร์เลย์มา และจงผสมกับอาหารหลักของเรา เพราะว่าฉันรังเกียจที่จะกินอาหารดีๆ ในขณะที่ชาวบ้านกินอาหารเลวๆ
คืนหนึ่งเมื่อความมืดเข้ามาปกคลุมทั่วเมืองมะดีนะฮฺ ขายคนหนึ่งชื่อ มุอัลลา บิน ดุนิซ ได้เห็นอิมามซอดิก (อ.) กำลังได้รับความลำบากท่ามกลางสายฝนและความมืด ขณะเดียวกับที่ยังแบกกระสอบที่บรรจุแป้งอยู่ด้วย ดังนั้น มุอัลลาจึงเดินตามไปดูเพื่อตนจะได้รู้ว่าอิมามซอดิก (อ.) กำลังจะไปไหน ได้มีขนมปังบางส่วนหล่นลง อิมาม (อ.) ได้หยิบขนมปังรวบรวมแล้วเดินต่อไป จนกระทั่งถึงที่อยู่อาศัยของคนยากจน ซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ อิมาม (อ.) ได้หยิบขนมปังวางไว้ที่หัวนอนแต่ละคน คนละสองชิ้น ดังนั้น มุอัลลาจึงเข้าไปใกล้ๆ แล้วถามอิมาม (อ.) ว่า พวกเขาเป็นสหายของท่านหรือ
อิมาม (อ.) ตอบว่า มิใช่หรอก
นอกจากนั้นแล้วท่านอิมาม (อ.) ยังให้การอุปการะอีกหลายครอบครัว โดยจะแบกของไปให้พวกเขาในยามกลางคืน ในขณะที่พวกเขาไม่รู้จนกระทั่งเมื่ออิมาม (อ.) ได้เสียชีวิตลง สิ่งของทั้งหลายที่เคยมีมายังพวกเขาในยามค่ำคืนก็ขาดหายไปด้วย นั่นแหละผู้คนจึงรู้ว่า คนที่เคยนำข้าวของมาแจกจ่ายพวกเขาก็คือ ท่านอิมามซอดิก (อ.) นั่นเอง
ครั้งหนึ่งเมืองมะดีนะฮฺได้ประสบกับความแห้งแล้ว ทำให้ข้าวสาลีขาดตลาด อิมามซอดิก (อ.) จึงถามมุอฺตับ คนรับใช้ของคนถึงข้าวสาลีที่มีอยู่ มุอฺตับกล่าวว่า ที่เรามีอยู่ขณะนี้ยังไพอไปอีกหลายเดือน อมาม (อ.) จึงสั่งให้นำไปขายออกสู่ตลาด มุอฺตับแปลกใจมาก เขาพยายามให้ท่านอิมามแบ่งข้าวสาลีออกเป็นสองส่วน แต่อิมามไม่ยอมกระทำตาม
มุชชาร อัลมะการียฺ รายงานว่าครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้เข้าไปหาอบูอับดุลลอฮฺ ซอดิก (อ.) ปรากฏวามีอินทผลัมพวงหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าในขณะที่อิมามกำลังนั่งรับประทานอยู่ ท่านกล่าวว่า บุชชาร เข้ามากินซิ ข้าพเจ้าจงกล่าวกับท่านว่า ขออัลลอฮฺ ทรงประทานความสุขสบายแก่ท่านเถิด แต่ข้าพเจ้ารู้สึกไม่พอใจกับสิ่งหนึ่งที่ได้เห็นระหว่างทาง มันทำให้จิตใจของข้าพเจ้าหดหู่ ที่ได้เห็นเจ้าหน้าที่ทุบตีหญิงคนหนึ่งแล้วนำตัวไปขัง ในขณะที่นางร้อง ขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺและศาสนทูต
ข้าพเจ้าได้ถามผู้คนแทบนั้น พวกเขาบอกว่า บังเอิญนางหกล้มที่ทางเดิน แล้วอุทานว่า ขออัลลอฮฺทรงสาปแช่งกลุ่มชนที่อธรรมต่อท่านหญิงฟาฎิมะฮฺด้วยเถิด
ท่านอิมาม (อ.) หยุดรับประทานแล้วร่ำไห้ จนกระทั่งผ้าเช็ดหน้าเปียกชุ่มต่อจากนั้นท่านก็ได้เดินทางไปยังมัสญิด แล้ววิงวอนขอพรให้นาง นางจึงมิได้ถูกขังอยู่นานสักเท่าใดนักก็ถูกปล่อยตัวออกมา หลังจากนั้นอิมามซอดิก (อ.) ก็ได้ส่งเงินให้แก่นางจำนวน 7 ดีนาร เพราะนางเป็นที่ยากจน
มหาวิทยาลัยอิสลาม
ผู้ปกครองราชวงศ์อุมัยยะฮฺ และราชวงศ์อับบาซียะฮฺ ที่สืบต่อมาในภายหลัง พยายามอย่างยิ่งที่จะกำจัดอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) แชะขับไล่ผู้ที่เป็นพรรคพวกของพวกท่านในทุกหนแห่งออกไป คนหลังหลายต่งศึกษาเล่าเรียนรายงานคำสอนต่างๆ จากบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) กันอย่างลับๆ ในยามที่โอกาสอำนายให้ทั้งอิมามบากิร (อ.) และอิมามซอดิก (อ.) ผู้เป็นบุตรได้หันหน้าไปสู่งานเผยแผ่วิชาการทางศาสนา และวางรากฐานด้านความศรัทธาในหัวใจของประชาชน
ในสมัยของท่านอิมามซอดิก (อ.) หลักศรัทธาอันบิดเบือนและหลงผิดได้มีการแพร่ระบาดไปทั่ว อิมามซอดิก (อ.) จึงใช้ความพยายามในการต่อสู้กับความเชื่อเหล่านั้น ดังจะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัย อิสลามอันยิ่งใหญ่ได้ถูกวางรากฐานขึ้นมาโดยผลงานของท่าน ซึ่งได้ผลิตผู้รู้ในศาสตร์สาขาต่างๆ จำนวน 4,000 คน เช่น วิชาการด้านศาสนศาสตร์ คณิตศาสตร์ เคมี ชีววิทยา และด้านการแพทย์
ญาบิร บิน ฮัยยาน นักวิชาเคมีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังได้กล่าวอรัมภบทไว้ในวิการด้านนี้ว่า ท่านประมุขของข้าพเจ้า ชื่อญะอฺฟัร บิน มุฮัมมัด ซอดิก (อ.) ได้บอกเล่าแก่ข้าพเจ้า
อิมามซอดิก (อ.) ให้เกียรติแก่บรรดานักปราชญ์ผู้ศรัทธา และสนับสนุนให้กำลังใจแก่บุคคลเหล่านี้ อีกทั้งยังได้ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ทั้งในการอธิบายและการสนทนาเพื่อการซักถาม เพื่อรับใช้งานศาสนาและปลูกฝังรากฐานของความศรัทธา อิมามซอดิก (อ.) รู้สึกเศร้าใจอย่างมากเมื่อได้เห็นบรรดาผู้บิดเบือน ผู้หลงผิด ซึ่งพยายามที่จะสร้างความเหลวไหลให้แด่ความเชื่อถือของคนทั้งหลาย และเผยแพร่ความหลงผิดออกไป
บรรดาผู้หลงผิดสี่คน ได้ชุมนุมกันที่มักกะฮฺและเฝ้าคอยลบหลู่ดูแคลนบรรดานักแสวงบุญที่กำลังเดินเวียนรอบอัล-กะอฺบะฮฺ หลังจากนั้นก็ตกลงกันตัดทอนอัล-กุรอาน ด้วยการรวบรวมหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งที่เท่ากัน โดยแต่ละคนรับหน้าที่ประพันธ์กันคนละ 1/4 ของอัล-กุรอาน แล้วกล่าวว่า วันครบสัญญาของเราคือเทศกาลฮัจญฺปีหน้า
หนึ่งปีผ่านไป พวกเขาก็มาชุมนุมกันอีกครั้งหนึ่ง
คนแรกกล่าวว่า ฉันใช้เวลาหนึ่งปีที่ผ่านไปทั้งหมดด้วยการคิดทบทวนอยู่แต่โองการนี้ ความว่า ครั้นเมื่อพวกเขาสิ้นหลัง พวกเขาก็รอดพ้นด้วยความปลอดภัย ความลึกซึ้งและอรรถรสของโองการนี้ ทำให้ฉันสับสนเหลือเกิน
คนที่สองกล่าวว่า ส่วนฉันก็คิดอยู่แต่โองการนี้ โอ้ บรรดามนุษย์อุทาหรณ์หนึ่งได้ถูกหยิบยกมา ดังนั้น จงรับฟังเถิด แท้จริงบรรดาผู้ที่วิงวอนขอต่อสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺนั้น ไม่สามารถจะสร้างแมลงวันแม้เพียงตัวเดียวได้เลย ถึงแม้พวกเขาจะร่วมมือกันเพื่อการนั้นก็ตาม ดังนั้น ฉันจึงไม่สามารถจะประพันธ์ให้ทัดเทียมกับโองการนี้ได้
คนที่สามกล่าวว่า แท้จริงมันมิได้เป็นผลงานของมนุษย์ ฉันใช้เวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาคิดทบทวนถึงโองการนี้ และได้มีคำสั่งว่า โอ้ แผ่นดินจงดูดซับน้ำของเจ้า และโอ้ ฟากฟ้าจงหยุดหลั่งน้ำฝนเถิดแล้วน้ำก็เหือดแห้ง และพระบัญชาก็เสร็จสิ้น ส่วนเรือนั้นก็ได้จอดค้างอยู่บนภูเขาญูดียฺ และมีคำสั่งว่าความหายนะจงประสบแก่บรรดาผู้อธรรม
อิมามซอดิก (อ.) ได้เดินผ่านมาทางพวกเขาแล้วได้หันไปมองพลางอ่านโองการหนึ่งว่า
แน่นอน ถึงแม้มนุษย์และญินจะร่วมมือกันทำสิ่งคล้ายเหมือนอัล-กุรอาน พวกเขาก็มิอาจนำมาให้เหมือนมันได้เลย และถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งของพวกเขจะเป็นผู้ช่วยเหลืออีกส่วนหนึ่งก็ตาม
มัซฮับ อัล ญะอฺฟะรียฺ
มัซฮับอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ได้แพร่หลายขึ้นในสมัยของอิมามซอดิก (อ.) จึงทำให้มีผู้นับถือเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งประชาชนเรียกขานว่า มัซฮับชีอะฮฺ หรือญะอฺฟะรียะฮฺ ซึ่งมีความหมายพาดพิงไปถึงท่านอิมามญะอฺฟัรอัซซอดิก (อ.) นั่นเอง
ตามความเป็นจริงแลวมัซฮัล อัลญุอฺฟะรียะฮฺ มิได้มีอะไรแตกต่างกัน เพราะนั่นก็คือมัซฮับของอะลี (อ.) ที่ลอบสังหารที่มะฮฺรอบ โดยฝีมือของพวกนอกรีด (เคาะวาริจญฺ) และเป็นมัซฮับที่ฮะซัน (อ.) ได้ตายไปด้วยการถูกลอบวางยาพิษโดยฝีมือของมุอาวิยะฮฺ และเป็นมัซฮับที่ฮุซัยนฺ (อ.) ได้พลีชีพให้ในวันอาชูรอนั่นเอง
แน่นอน ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้สั่งบรรดามุสลิมว่าให้ยึดถือคัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ และเชื้อสายของท่าน (อะฮฺลุลบัยตฺ) แต่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ เพราะมุสลิมได้หลงลืมคำสั่งเสียของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ดังนั้น บรรดาผู้บิดเบือนจึงได้ละเมิดสิทธิของพวกท่านจึงทำให้ความเสียหายและความอยุธรรมแพร่ระบาดออกไปอย่างกว้างขวาง ในขณะที่บรรดาผู้ปกครองก็ขับไล่ลูกหลายอขงท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) และพรรคพวกของท่านยิ่งกว่านั้นยังเข่นฆ่าพวกท่าน และประกอบอาชญากรรมอย่างเลวร้ายต่อสิทธิของพวกท่าน ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่กัรบะลาอฺ
ประชาชนต่างตระหนักดีว่า คนเหล่านั้นประสบกับความขาดทุนอย่างใหญ่หลวง กับการทำลายคำสั่งสอนของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) แต่ท่วาพวกเขากลังเกรงอิทธิพลของบรรดานักปกครอง จนกระท่งบางคนต้องปกปิดความรักที่มีต่ออะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เพื่อรักษาชีวิตของตนเองและครอบครัว
อิมามซอดิก (อ.) กับเคาะลิฟะฮฺมันซูร
ประชาชนต่างโอดครวญกับการปกครองและความอยุติธรรมของราชวงศ์อุมัยยะฮฺ คนบางกลุ่มฉวยโอกาสใช้ความรู้สึกของประชาชน และความรักของพวกเขาที่มีต่อครอบครัวของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) เริ่มต้นด้วยการแสดงคนว่าต่อต้านผู้ปกครองราชวงศ์อุมัยยะฮฺในนามของอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) แน่นอน ตระกูลอับบาซียะฮฺได้พยายามเรียกร้องเชิญชวนประชาชนให้แสวงหา ความพึงพอใจจากวงศ์วานของศาสดามุฮัมมัด ปรากฏว่าคำขวัญนี้ได้ช่วยทำให้การเชิญชวนของพวกเขาแร่ออกไปอย่างกว้างขวาง และการปฏิบัติของพวกเขาก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นที่เมืองโคราซาน ประชาชนได้มารวมตัวสนับสนุนพวกเขาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น พวกเขาจึงประสบชัยชนะและอำนาจรัฐของอุมัยยะฮฺก็สิ้นสุดลง
แทนที่คนในตระกูลอับบาซียะฮฺจะมอบตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺให้กับอะฮฺลุลบัยตฺผู้ที่เป็นเจ้าของ แต่กับพยายามขับไล่ไสส่งตระกูลคนในตระกูลของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ในทุกหนทุกแห่ง พวกเขาได้รับความขมขื่นกับการเข่นฆ่าการเนรเทศ
มันซูร ใช้ประเพณีสืบทอดตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺด้วยกำลัง และพยายามวงแผนกำจัดฝ่ายที่ต่อต้านตน เขาได้ฆ่ามุฮัมมัดและอิบรอฮีมผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งทั้งสองคนเป็นลูกหลายของท่านอิมามฮะซัน (อ.) และยังส่งคนสอดแนมไปตามเมืองต่างๆ และได้สังการให้ผู้ปกครองเมืองมะดีนะฮฺให้สอดส่องดูแลพฤติกรรมของอิมามซอดิก (อ.) อย่างใกล้ชิดอีกด้วย
ครั้งหนึ่งมันซูรได้เชิญท่านอิมามซอดิก (อ.) เขาพบ แล้วถามว่า ทำไมท่านมิได้มาเยี่ยมเยือนเราเหมือนกับผู้คนทั้งหลายที่มาเยี่ยมเยือนกัน
อิมามซอดิก (อ.) ตอบว่า สำหรับเราไม่มีกิจการใด ทางโลกที่ทำให้เรากลัวเกรงท่าน และสำหรับท่านก็ไม่มีกิจการใดๆ ทางปรโลกที่ทำให้เราหวังจะได้จากท่าน และท่านก็มิได้อยู่ในความโปรดปรานอันใดที่เราจะต้องรู้สึกยินดีด้วย และท่านก็มิได้อยู่ในความแค้นใดๆ ที่เราจะต้องรู้สึกเสียใจด้วย
มันซูรได้กล่าววาจาสามหาวออกมาว่า ท่านเป็นเพื่อนกับเราเพื่อจะได้ตักเตือนเรา
อิมาม (อ.) ผู้ที่ปรารถนาทางโลกจะไม่ตักเตือนท่าน และผู้ที่ปรารถนาทางปรโลกก็จะไม่ตักเตือนท่านด้วย
มันซูรได้สั่งการให้ผู้ปกครองเมืองมะดีนะฮฺลบหลู่เกียรติยศของท่านอิมามอะลี (อ.) วันหนึ่งเจ้าเมืองมะดีนะฮฺได้ขึ้นบนมิมบัร แล้วกล่าวถึงอมีรุลมุอฺมินีนและบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) ในทางที่เสื่อมเสีย ดังนั้น อิมามซอดิก (อ.) จึงลุกขึ้นตอบโต้ว่า
ตามที่ท่านได้กล่าวมานั้น ในส่วนที่เป็นความดีพวกเรานี่แหละคือ ผู้ทรงสิทธิ์กับความดีอันนั้น แต่สำหรับสิ่งที่ท่านได้กล่าวมาในส่วนที่เป็นความเสื่อมเสีย ท่านและเจ้านายของท่าน (เคาะลิฟะฮฺมันซูร) คือผู้ที่คู่ควรมากกว่าใครทั้งหมดกับความเสื่อมเสียอันนั้น
แล้วอิมามซอดิก (อ.) ก็ได้หันไปทางประชาชน พลางกล่าวว่า ข้าพเจ้ายังมิได้บอกพวกท่านอีกหรือว่า คนทีมีน้ำหนักของความดีในตราชูที่เบาที่สุด และตนที่ขาดทุนอย่างยับเยินที่สุดในวันฟื้นคืนชีพ อีกทั้งคนที่ตกอยู่ในสภาพที่เลวทรามต่ำช้าที่สุดได้แด่ คนที่ขายรางวัลแห่งปรโลกของตนเองไปกับผลประโยชน์ทางโลกของบุคคลอื่น และเขาก็คือจนที่ละเมิดศาสนาผู้นี้
หลังจากนั้นเจ้าเมืองจึงได้ลงจากมิมบัรด้วยความอัปยศอดสูที่สุด
ในที่ประชุมของเคาะลิฟะฮฺมันซูร ครั้งหนึ่งได้มีแมลงวันตัวหนึ่ง บินมาไต่ตอมที่จมูกของมันซูร ขณะเดียวกันมันซูรก็พยายามไล่ แต่แมลงวันตัวนั้นก็บินมาเกาะอีก จนทำให้เขารู้สึกรำคาญ ดังนั้น เคาลิฟะฮฺ มันซูรจึงหันไปหาอิมามซอดิก (อ.) แล้วถามว่า อัลลอฮฺ สร้างแมลงวันมาเพื่ออะไร
อิมาม (อ.) ตอบว่า พระองค์สร้างมาเพื่อลดความองอาจของพวกที่หลงอำนาจให้ต่ำต้อยลง
มันซูรไม่อาจที่จะทนรับสภาพการดำรงอยู่ของท่านอิมามซอดิก (อ.) ได้อีก เขาจึงวางแผนที่จะกำจัดท่าน และในที่สุดเขาก็ได้ลอบวางยาพิษท่าน อิมามซอดิก (อ.) ได้พลีชีพในวันที่ 25 เชาวาล ฮ.ศ. 148 ร่างอันบริสุทธิ์ของท่านได้ถูกฝังที่สุสาน ญันนะตุลบะกีอฺ เมืองมะดีนะฮฺ ประเทศซาอุดิอารเบีย
วาทะประทีป
1) จงระมัดระวังบุคคลสามประเภทดังนี้ คนคดโกง คนอธรรม และคนติฉินนินทา เพราะว่าคนใดก็ตามที่เคยคดโกงเพื่อผลประโยชน์ของท่าน เขาก็สามารถคดโกงท่านได้ด้วยเช่นกัน คนใดก็ตามที่เคยสร้างความอธรรมเพื่อผลประโยชน์ของท่าน เขาก็จะสร้างความอธรรมแก่ท่านได้อีกเช่นกัน และบุคคลใดก็ตามที่นินทาคนอื่นให้ท่านฟัง เขาก็จะนินทาท่านให้คนอื่นฟังเช่นกัน
2) บุคคลสามประเภทที่จะไม่ได้สัมผัสกับสิ่งอื่นใดนอกจากความดีนั่นคือ ผู้ที่มีอุปนิสัยนิ่งเงียบ ผู้ที่ละเว้นจากการประพฤติชั่ว และผู้ที่หมั่นเพียรในการรำลึกถึงอัลลอฮฺ หัวใจหลักของความเข้มแข็งนั้นคือความ การถ่อมตน มีคนถามท่านอิมามซอดิก (อ.) อะไรคือความหมายของการถ่อมตน ท่านอิมาม (อ.) ตอบว่า คือการที่ท่านพึงพอใจกับการเข้าร่วมในที่ประชุม โดยปราศจากผู้ให้เกียรติท่าน และการที่ท่านกล่าวสลามให้แก่คนที่ท่านพบปะ อีกทั้งการที่ท่านงดเว้นคำตอบโต้ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม
3) ชายคนหนึ่งไปมาหาสู่กับท่านอิมามซอดิก (อ.) อยู่เป็นประจำแต่แล้วอยู่ๆ เขาก็ขาดหายหน้าไป เมื่ออิมาม (อ.) ถามถึงเขา ก็ได้มีชายผู้หนึ่งกล่าวตำหนิคนผู้นั้นว่า แท้จริงเขาเป็นคนลึกลับ
อิมามจึงกล่าวว่า พื้นฐานที่แท้จริงของคนเราอยู่ที่สติปัญญา
จิตสำนึกของเขาอยู่ที่ศาสนาของเขา
เกียรติยศของเขาอยู่ที่ความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขา และคนเรานั้นในทัศนะของอาดัมล้วนเสมอเหมือนกัน
จงยำเกรงต่อผู้ทรงธรรม เพราะว่าคำวิงวอนของผู้ทรงธรรมนั้นจะขึ้นสู่เบื้องบนเสมอ (หมายถึงจะถูกยอมรับจากพระเจ้า)
4) บรรดานักปราชญ์ในศาสนา (ฟุเกาะฮา) คือ ผู้เป็นที่ไว้วางใจของบรรดาศาสนทูต ดังนั้น ถ้าหากพวกท่านเห็นนักปราชญ์ไปคบหากับนักปกครองทรราช พวกท่านก็จงตั้งข้อกล่าวหาแก่พวกเขาในทางศาสนาของพวกเขาได้เลย
5) สิ่งสามประการจะบั่นทอนการดำรงชีพนั่นคือ นักปกครองที่อธรรมเพื่อนบ้านที่ประพฤติชั่ว ภรรยาที่เป็นหญิงก่อความอนาจาร และอีกสามประการซึ่งโลกนี้มิอาจจะบรรลุถึงความดีงามได้ ถ้าหากไม่มีสิ่งเหล่านี้ นั้นคือ หลักประกันความปลอดภัย ความยุติธรรม และความอุดมสมบูรณ์