เงื่อนไขการดำรงชีวิตของมนุษย์

- บทนำ - มนุษย์ คือผู้ถวิลหาความสมบูรณ์ - ความสมบูรณ์ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามสติปัญญา - กฎเกณฑ์การกระทำของสติปัญญาต้องการพื้นฐานทางความคิด - บทสรุป บทนำ ก่อนหน้านี้ได้กล่าวถึงความจำเป็นในการแสวงหาศาสนา และความพยายามในการรู้จักศาสนาที่ถูกต้องมาแล้ว บนพื้นฐานความรู้สึกอันเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์นั่นเอง ได้บ่งบอกให้เห็นประโยชน์ในการแสวงหา หรือหลีกเลี่ยงจากภยันตรายที่อาจเกิดกับมนุษย์ได้ เหตุผลที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว คือ ถ้าสมมุติว่าการไปถึงยังผลประโยชน์หรือการหลีกเลี่ยงจากภยันตรายคือบทสรุปที่ถูกต้องตามธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ดั้งนั้น การแสวงหาศาสนาที่อ้างว่าจะนำเสนอหนทางที่ถูกต้อง และปลอดภัยจากภยันตรายต่าง ๆ อันไม่มีขอบเขตจำกัดคือ ความจำเป็น (ความจำเป็นที่เกิดจากการซุ่มตัวอย่างคือ เหตุผลไม่สมบูรณ์สำหรับการเกิดผล) แต่การไปถึงยังผลประโยชน์และความปลอดภัยจากภยันตรายคือ ผลสรุปอันเป็นความปรารถนาทางธรรมชาติของมนุษย์ ฉะนั้น การแสวงหาศาสนาเช่นนี้ถือว่าเป็นความจำเป็น ด้วยเหตุนี้ ถ้าการไปถึงความสมบูรณ์ของมนุษย์ คือ บทสรุปอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์แล้วละก็ การรู้จักรากหลักของโลกทัศน์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขจำเป็นสำหรับความสมบูรณ์ของจิตวิญญาณก็ถือว่าเป็นความจำเป็นด้วยเช่นกัน และถ้าการไปถึงความสมบูรณ์เป็นผลสรุปอันเป็นธรรมชาติ ดังนั้น การรู้จักหลักการดังกล่าวก็จำเป็นโดยตัวของมันเอง บุคคลที่ไม่คิดใคร่ครวญเกี่ยวกับศาสนาหรือไม่เชื่อเรื่องโลกทัศน์ที่ถูกต้องแล้วละก็ เขาจะไปไม่ถึงจุดสมบูรณ์สูงสุดของความเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ทว่าโดยหลักการแล้วไม่สามารถยอมรับได้ว่าเขาคือมนุษย์ที่แท้จริง อีกนัยหนึ่งสามารถกล่าวได้ว่า เงื่อนไขสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์คือ การมีโลกทัศน์และอุดมคติอันถูกต้อง เหตุผลดังกล่าววางอยู่บนพื้นฐานอันเป็นปฐมบท 3 ประการกล่าวคือ 1. มนุษย์ คือสิ่งมีอยู่ที่ถวิลหาความสมบูรณ์ 2. ความสมบูรณ์ของมนุษย์ เกิดจากความประพฤติปฏิบัติที่มาจากเจตนารมณ์เสรี อันเป็นหลักการที่เกิดมาจากสติปัญญา 3. กฎเกณฑ์ในการปฏิบัติของสติปัญญาอยู่ภายใต้ร่มเงาของการรู้จัก อันเป็นวิสัยทัศน์ที่เฉพาะเจาะจงพิเศษ ซึ่งสำคัญที่สุดของวิสัยทัศน์เหล่านั้นคือ หลักการ 3 ประการของโลกทัศน์อันได้แก่ การรู้จักแหล่งกำเนิดของการมีอยู่ (พระเจ้าผู้ทรงรังสรรค์) บั้นปลายสุดท้ายแห่งชีวิต (การฟื้นคืนชีพ) แนวทางอันเป็นหลักประกันที่จะทำให้เราพบกับความผาสุก (สภาวะการเป็นนบี) หรืออีกนัยหนึ่งคือ การรู้จักพระเจ้า การรู้จักมนุษย์ และแนวทางในการรู้จักนั่นเอง ลำดับต่อไปจะอธิบายปฐมบทอันเป็นหลักการสำคัญ 3 ประการ ดังต่อไปนี้ มนุษย์ คือผู้ถวิลหาความสมบูรณ์ บุคคลใดก็ตามถ้าพิจารณาถึงแนวความคิดของจิตด้านในหรือความปรารถนาของจิตใจตน เขาก็จะพบว่ารากที่มาส่วนใหญ่คือ การก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ แน่นอน ไม่มีมนุษย์คนใดปรารถนาให้ตนเองมีข้อบกพร่อง หรือมีข้อตำหนิ เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะขจัดข้อตำหนิและความบกพร่องให้หมดไปจากตนเอง เพื่อไปให้ถึงยังความสมบูรณ์อันเป็นเป้าหมายของความพึงปรารถนา แต่ก่อนที่จะขจัดความบกพร่องเหล่านั้นให้หมดไปจากตนได้ อันดับแรกเขาจะต้องปกปิดข้อบกพร่องนั้นให้รอดพันจากสายตาของบุคคลอื่น ความปรารถนาดังกล่าวนี้ ถ้าตื่นขึ้นและดำเนินไปในหนทางอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์แล้วละก็ มันจะกลายเป็นตัวการสำคัญสำหรับความก้าวหน้า และความสมบูรณ์ทั้งด้านวัตถุปัจจัยและด้านศีลธรรมจรรยา แต่ถ้าเมื่อใดมันตกอยู่ในเงื่อนไขที่นำไปสู่การหลงผิด มันก็จะกลายเป็นคุณสมบัติที่ชั่วร้าย เช่น การถืออัตตาตัวตน ความโอ้อวดทรงตน และความปรารถนาให้ผู้อื่นสรรเสริญเยินยอ และฯลฯ อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาในความสมบูรณ์เป็นปัจจัยทางธรรมชาติ อันเป็นพลังในการสร้างป้อมปราการที่แข็งแรงสำหรับจิตวิญญาณ ซึ่งโดยปกติการเจริญเติบโตและกิ่งก้านสาขาที่แตกออกไปเป็นที่สนใจของคนทั่วไป ดังนั้น ถ้าพิจารณาสักเล็กน้อยจะเห็นอย่างประจักษ์ชัดว่า รากที่มาของทั้งหมดเหล่านั้นอยู่ที่การถวิลหาความสมบูรณ์และความจริง ความสมบูรณ์ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามสติปัญญา ความสมบูรณ์ของวัตถุธาตุต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยและเงื่อนไขภายนอกที่สมบูรณ์ในเชิงของการบังคับให้เกิดขึ้น ดังนั้น ไม่มีต้นไม้ต้นใดเจริญเติบโตตามความต้องการของตนเอง หรือออกดอกออกผลตามใจชอบได้ เนื่องจากต้นไม่มีสติปัญญานั่นเอง แต่มนุษย์นอกจากจะมีลักษณะอันเฉพาะเจาะจงของต้นไม้ และวัตถุธาตุอยู่ในตัวแล้ว ยังมี 2 คุณลักษณะพิเศษแห่งจิตวิญญาณอีกต่างหากกล่าวคือ ด้านหนึ่งความปรารถนาอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่ในขอบข่ายของธรรมชาติที่ไม่มีขอบเขตจำกัด อีกด้านหนึ่งมนุษย์มีสติปัญญา เขาสามารถขยายวงจรของความรู้และวิชาการให้กว้างออกไปชนิดที่ไมมีขอบเขตที่สิ้นสุด และบนพื้นฐานพิเศษดังกล่าวนี้ความปรารถนาของมนุษย์ได้ก้าวเลยขอบเขตธรรมชาติไปสู่ความไม่มีที่สิ้นสุด ดังเช่น ความสมบูรณ์พิเศษของวัตถุธาตุขึ้นอยู่กับพลังอันเฉพาะของวัตถุธาตุนั้น ความสมบูรณ์ของสรรพสัตว์ขึ้นอยู่กับความต้องการที่เกิดจากความรู้สึกในส่วนลึกของสัตว์ ส่วนความสมบูรณ์ของมนุษย์ซึ่งพิเศษไปกว่าสิ่งอื่นใด ตามความเป็นจริง คือ ความสมบูรณ์ของจิตวิญญาณ ซึ่งขึ้นอยู่กับความปรารถนาที่ชัดแจ้งภายใต้ร่มเงาแห่งการชี้นำของสติปัญญา สติปัญญาเท่านั้นที่รู้จักระดับชั้นของผลสรุปที่แตกต่างกัน ในกรณีที่เกิดความสับสนสติปัญญาจะถือเอาสิ่งที่ดีกว่าเป็นเกณฑ์ตัดสินเสมอ ด้วยเหตุนี้ ความเป็นมนุษย์ คือ ความประพฤติและการปฏิบัติภารกิจอันเป็นแรงปรารถนาที่เกิดจากอำนาจพิเศษของมนุษย์ภายใต้การชี้นำของสติปัญญา ส่วนความประพฤติที่กระทำโดยอำนาจของสัตว์ถือว่าเป็นความประพฤติของสัตว์เดรัจฉาน ดังเช่นการเคลื่อนไหวที่เกิดจากพลังในร่างกายถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางสรีระของมนุษย์ กฎเกณฑ์การกระทำของสติปัญญาต้องการพื้นฐานทางความคิด ความประพฤติตามเจตนารมณ์เสรี คือ สื่อที่จะนำมนุษย์ไปสู่ผลสรุปอันเป็นที่ยอมรับ ซึ่งคุณค่าของสิ่งนั้นขึ้นอยู่กับระดับชั้นของเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ในความคิด และผลที่จะเกิดขึ้นอันเป็นความสมบูรณ์ของจิตวิญญาณ ดังนั้น ถ้าความประพฤติเป็นสาเหตุทำให้สูญเสียความสมบูรณ์ด้านจิตวิญญาณ ถือว่าความประพฤตินั้นก่อให้เกิดผลในทางลบเป็นอันตรายต่อตัวเอง ฉะนั้น สติปัญญาสามารถตัดสินความประพฤติตามเจตนารมณ์เสรีและคุณค่าของสิ่งนั้นได้ ก็ต่อเมื่อความสมบูรณ์และระดับชั้นของสิ่งนั้นเป็นที่ชัดเจน และล่วงรู้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีอยู่ประเภทใด วิถีชีวิตของมนุษย์จะดำเนินไปสู่จุดใด และไปถึงยังความสมบูรณ์ในระดับใด อีกนัยหนึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ต้องรับรู้ว่ามนุษย์และแนวความคิดในการมีอยู่ของมนุษย์คืออะไร และเป้าหมายในการสร้างมนุษย์คืออะไร ด้วยเหตุนี้ การมีวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องก็คือ การรู้จักกฎเกณฑ์แห่งคุณค่าที่อยู่เหนือความประพฤติ ตามเจตนารมณ์เสรีในส่วนของโลกทัศน์ที่ถูกต้อง และการแก้ไขปัญหาถ้ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ก็ไม่สามารถตัดสินความประพฤติที่มีคุณค่าได้ ทำนองเดียวกันถ้ายังไม่รู้จักเป้าหมายที่จะเดินทางไปสู ก็ไม่สามารถกำหนดเส้นทางและจุดสิ้นสุดของระยะทางได้ ดังนั้น การรู้จักความคิดซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของโลกทัศน์ ในความเป็นจริงก็คือ การรู้จักพื้นฐานแห่งคุณค่าและกฎเกณฑ์ในการกระทำของสติปัญญานั่นเอง บทสรุป ฉะนั้น จากปฐมบททั้ง 3 ประการตามที่กล่าวมา สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงความจำเป็นในการแสวงหาศาสนา และความพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งโลกทัศน์อันถูกต้อง โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ปรารถนาความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์ของตน และต้องการไปถึงความสมบูรณ์ที่แท้จริงด้วยการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ แต่เพื่อต้องการรู้ว่ามีภารกิจอันใดบ้างที่สามารถนำตนไปสู่ความใกล้เคียงกับเป้าหมายดังกล่าว ประการแรกเขาต้องรู้จักความสมบูรณ์ขั้นสูงสุดของตนเสียก่อน ซึ่งการรู้จักสิ่งนั้นขึ้นอยู่กับการรู้จักแก่นแท้ของการมีอยู่ของตน หลังจากนั้นต้องรู้จักแบ่งแยกระหว่างความสัมพันธ์ทั้งในแง่บวก และในแง่ลบเกี่ยวกับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน และขั้นตอนอันหลากหลายของความสมบูรณ์ เพื่อจะได้รู้จักแนวทางที่ถูกต้องสำหรับความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์ของตน ถ้ายังไม่รู้จักพื้นฐานทางความคิด (อันเป็นรากหลักของโลกทัศน์) เขาก็จะไม่สามารถยอมรับระบบของการปฏิบัติ (อุดมคติ) อันถูกต้องได้ ดังนั้น ความพยายามเพื่อรู้จักศาสนาแห่งสัจธรรม ซึ่งประกอบด้วยโลกทัศน์และอุดมคติอันถูกต้องถือเป็นความจำเป็น ถ้าไม่มีสิ่งนี้การไปถึงความสมบูรณ์ของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดุจดังเช่นถ้าไม่มีความประพฤติที่เกิดจากอุดมการณ์ที่มีคุณค่า ก็จะไม่ถือว่าเป็นการกระทำของมนุษย์ และบุคคลที่ไม่ขวนขวายเพื่อรู้จักศาสนาแห่งสัจธรรม หรือหลังจากรู้จักแล้วทำเป็นล้อเล่นกับศาสนาหรือตั้งใจปฏิเสธ โดยยึดถืออำนาจใฝ่ต่ำและความต้องการแห่งวัตถุปัจจัยเป็นหลัก ซึ่งในความเป็นจริงเขามิได้เป็นสิ่งใดอื่นนอกจากเป็นสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำเท่านั้น ดังที่อัล-กุรอานกล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮ ทรงให้บรรดาผู้ศรัทธา ผู้กระทำความดีทั้งหลายเข้าสู่สรวงสวรรค์อันหลากหลาย ณ เบื้องล่างสรวงสวรรค์มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธพวกเขาจะหลงระเริงและกินเยี่ยงปศุสัตว์ ซึ่งไฟนรกคือที่สถานที่พำนักของพวกเขา” (อัล-กุรอาน บทมุฮัมมัด โองการที่ 12) เนื่องจากพวกเขาได้ปล่อยให้ความเป็นมนุษย์หลุดลอยมือไป ดังนั้น พวกเขาจึงต้องถูกลงโทษอย่างแสนสาหัส อัล-กุรอาน กล่าวว่า “เจ้าจงปล่อยพวกเขาบริโภคและร่าเริงต่อไป ซึ่งความหวังจะทำให้พวกเขาลืมเลือนแล้วพวกเขาก็จะรู้” (อัล-กุรอาน บทอัลฮิจรฺ โองการที่ 3) คำถามท้ายบท 1.เหตุผลประการที่สองสำหรับการศึกษาศาสนาประกอบไปด้วยปฐมบทอะไรบ้าง 2. จงอธิบายความสมบูรณ์ของมนุษย์ว่าหมายถึงอะไร 3. จงอธิบายความพิเศษแห่งรากหลักของความเป็นมนุษย์ 4. ระหว่างความพิเศษต่างๆ และความสมบูรณ์อันแท้จริงของมนุษย์ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร