ตรรกะของการปฏิวัติ คือตรรกะแห่งอิสลาม นั่นคือ “ไม่กดขี่” และ “จะไม่ยอมให้ใครกดขี่”

ตรรกะของการปฏิวัติ คือตรรกะแห่งอิสลาม นั่นคือ “ไม่กดขี่” และ “จะไม่ยอมให้ใครกดขี่”

 ความท้าทายที่สำคัญของการปฏิวัติ ก็คือการที่การปฏิวัติได้นำเสนอระบบใหม่ให้แก่มนุษยชาติ ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวว่า การปฏิวัติได้มาพร้อมกับการกล่าวตรงไปยังมนุษยชาติทั้งมวลตั้งแต่วันแรก มันไม่ใช่เช่นนั้น! มันเป็นการปฏิวัติอิสลาม "ในอิหร่าน" มุ่งไปที่ปัญหาต่างๆ ของอิหร่าน มุ่งไปที่การสร้างการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานต่างๆ ในอิหร่านเพียงเท่านั้น แต่ทว่าภาษาและสาส์นของการปฏิวัตินี้ เป็นสาส์นและเป็นภาษาที่โดยธรรมชาติของมันแล้วไม่อาจจำกัดตัวเองอยู่แค่ในพรมแดนของอิหร่านเพียงเท่านั้น มันคือแนวคิดสากลและข้อเท็จจริงทางสากลอย่างหนึ่ง เป็นข้อเท็จจริงแห่งมนุษยชาติที่ได้ส่งสาส์นออกไปโดยสื่อของการปฏิวัติ เมื่อทุกคนในโลกได้ยินมันจึงรู้สึกประทับใจในสาส์นนี้... แล้วสาส์นนี้คืออะไรหรือ? หากเราต้องการที่จะอธิบายถึงสาส์นนี้ในคำพูดเพียงประโยคเดียว ในรูปสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาของมัน นั่นก็คือ “การเผชิญหน้ากับระบบครอบงำ (ลัทธิจักรวรรดินิยม)” นี่คือสาส์นแห่งการปฏิวัติ ระบบครอบงำคือระบบการแบ่งโลกออกเป็นผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่ ตรรกะของการปฏิวัติเป็นตรรกะของอิสลาม นั้นคือ «لاتَظلِمونَ وَ لا تُظلَمون» “พวกเจ้าจะไม่อธรรมและจะไม่ถูกอธรรม” (1) คือการที่พวกท่านจะต้องไม่กดขี่และจะต้องไม่ปล่อยให้ใครกดขี่พวกท่าน ในด้านของความเป็นมนุษย์และในด้านของการดำรงอยู่ของมนุษย์ ทั้งหมดนี้ใครบ้างที่จะไม่รู้สึกยินดีต่อสาส์นนี้ และจะไม่รู้สึกประทับใจต่อสาส์นนี้!

 การไม่ยอมรับทั้งการกดขี่และการถูกดขี่นี้ เป็นจุดตรงกันข้ามกับระบบที่ปกคลุมโลกมานับจากหลังการปรากฏขึ้นของอารยธรรมใหม่ทางด้านอุตสาหกรรม การแพร่กระจายของเครื่องมือต่างๆ ทางอุตสาหกรรม และผลพวงของมันก็คือ การแพร่กระจายของวัฒนธรรมแห่งการครอบงำขึ้นในโลก ดังนั้นทุกหน่วยงานในโลกนี้ที่เป็นเครือข่ายของระบบครอบงำนี้ จะเป็นปฏิปักษ์ต่อสาส์นนี้ ผู้ที่ตัวของพวกเขาคือผู้ครอบงำ หมายถึงบรรดารัฐบาลที่เป็นทรราช บรรดาเครือข่ายทางเศรษฐกิจที่ดูดเอาความมั่งคั่งของชาติและความมั่งคั่งของประเทศทั้งหลายนั้น จะเป็นปฏิปักษ์กับสาส์นนี้ เนื่องจากพวกเขาทำการกดขี่ โดยที่รัฐบาลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาและด้อยกว่าซึ่งพวกเขาทำการปกครองเหนือประชาชนที่ยากจนหรือบรรดาคนรวยทั้งหลาย และเป็นผู้ปฏิบัติตามระบบครอบงำแห่งโลกนั้น โดยตัวพวกเขาเองแล้วไม่มีความสามารถใดๆ ไม่มีอำนาจครอบงำใดๆ แต่เนื่องจากพวกเขาปฏิบัติตามพวกเหล่านั้น เดินตามทางของพวกเหล่านั้น พวกเขาจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อสาส์นนี้ด้วย รัฐบาลใดก็ตามที่ดำเนินนโยบายตามระบบครอบงำ ตัวอย่างเช่น ดำเนินตามนโยบายต่างๆ ของสหรัฐ หรือในช่วงเวลาหนึ่ง (ในอดีต) ที่ดำเนินตามนโยบายต่างๆ ของอังกฤษในประเทศของตนแบบทุกกระเบียดนิ้ว รัฐบาลนี้โดยธรรมชาติแล้วย่อมจะเป็นปฏิปักษ์ต่อสาส์นที่ว่า «لا تَظلِمونَ وَ لا تُظلَمون» “จะไม่กดขี่และจะไม่ยอมถูกกดขี่” บรรดาบริษัทข้ามชาติทั้งชาติเดี่ยวและหลายชาติ ที่เป็นผู้รวบรวมสะสมความมั่งคั่งต่างๆ ของสาธารณะ ก็จะเป็นปฏิปักษ์ (ต่อสาส์นนี้) เช่นกัน นโยบายการเมืองต่างๆ ที่แพร่กระจายหลักการสามประการนี้ออกไปสู่โลก คือ “ก่อสงคราม ความยากจน และความเสื่อมทรามทางศีลธรรม” ก็จะเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งนี้ สงครามต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกในช่วงท้ายๆ ของสองสามศตวรรษมานี้ ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของระบบครอบงำ (ลัทธิจักรวรรดินิยม) บางครั้งพวกเขาทำสงครามกับประเทศหนึ่ง หรือบางครั้งพวกเขาทำให้คนสองกลุ่ม (หรือสองประเทศ) ทำสงครามกัน เพื่อที่พวกเขาจะได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้น ความยากจนก็เป็นงานของพวกเขา ประเทศที่ยากจนจำนวนมากที่ประชาชนต้องใช้ชีวิตอยู่ในความยากจนและไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางธรรมชาติของตนเองได้นั้น ความผิดของความยากจนของพวกเขาอยู่บนคอของพวกเหล่านี้ หลายประเทศที่พวกเหล่านี้ได้ทำให้สถานะทางความรู้ของพวกเขาว่างเปล่า ด้วยผลของการครอบงำทางการเมือง พวกท่านลองอ่านหนังสือ “มองประวัติศาสตร์โลก” เล่มนี้ของ “เยาวหราล เนห์รู” ในหมวดที่อธิบายถึงรายละเอียดและสะท้อนภาพการแทรกแซงและการเข้ามามีอิทธิพลของอังกฤษในประเทศอินเดีย เขาเป็นคนซื่อสัตย์อีกทั้งมีความรู้ เขากล่าวว่า อุตสาหกรรมที่มีอยู่ในอินเดีย ความรู้ที่มีอยู่ในอินเดียนั้นไม่น้อยไปกว่ายุโรป อังกฤษและตะวันตก หรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อชาวอังกฤษเข้ามาสู่ประเทศอินเดีย หนึ่งในแผนงานของพวกเขาก็คือการยับยั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ ต่อมาเรื่องราวของอินเดียได้ดำเนินไปจนถึงขั้นที่ว่า ประชาชนหลายสิบล้านคนในช่วงเวลานั้น และหลายร้อยล้านคนในช่วงเวลาต่อมา กลายเป็นคนยากจน กลายเป็นขอทานนอนข้างถนนและกลายเป็นผู้หิวโหยอย่างแท้จริง แอฟริกาก็แบบเดียวกันนี้ หลายประเทศในละตินอเมริกาก็เป็นแบบเดียวกัน ดังนั้นระบบครอบงำ (ลัทธิจักรวรรดินิยม) นอกจากจะเป็นผู้ก่อสงครามแล้ว ยังเป็นผู้สร้างความยากจนอีกด้วย ความร่ำรวยมั่งคั่งอันมหาศาลเหล่านี้ที่พวกท่านเห็น มันถูกรวบรวมสะสมอยู่ในยอดภูผาต่างๆ แห่งความมั่งคั่งของบรรดามหาเศรษฐีชั้นนำของโลก นั่นก็คือสิ่งที่ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้กล่าวว่า

 ما رَأيتُ نِعمَةً مَوفورَة، اِلّا وَ فى جانِبِها حَقٌّ مُضَيَّع

“ฉันมิได้มองเห็นเนี๊ยะอ์มัต (ทรัพย์สมบัติ) ที่มากมายก่ายกอง นอกเสียจากว่า เคียงคู่กับสิ่งนั้นคือสิทธิ (ของผู้อื่น) ที่ถูกทำลาย” (2) เมื่อพวกเขาปล้นสะดมน้ำมันของประเทศหนึ่ง ปล้นสะดมผลผลิตทางการเกษตรของประเทศหนึ่ง ปล้นสะดมใบชาของประเทศหนึ่ง พวกเขายึดเอาธุรกิจการค้าของประเทศหนึ่งมาไว้ในมือของพวกเขา โดยที่ประชาชนของประเทศนั้นต้องถูกลิดรอนสิทธิ์จากมัน พวกเขาทำลายสิทธิ์การผลิต อุตสาหกรรม และกิจการด้านต่างๆ ของการพัฒนาแห่งชาติไปจากชาติหนึ่ง ชาตินั้นก็กลายเป็นผู้ยากจน ดังนั้นทั้งสงครามก็เป็นงานของพวกเขา ความยากจนก็เป็นงานของพวกเขา ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมก็เป็นงานของพวกเขา การแพร่กระจายความเสื่อมทรามทางศีลธรรมออกไปสู่โลก การโหมกระพือไฟของความต้องการทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องทางธรรมชาติอย่างหนึ่งที่อาจถูกโหมกระพือและถูกทำให้ลุกโชติช่วงขึ้นในตัวมนุษย์ทุกคนได้นั้น นั่นก็คืองานของพวกเขา ซึ่งแต่ละประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่เป็นเอกเทศและมีรายละเอียดมากมาย ระบบครอบงำ (ลัทธิจักรวรรดินิยม) นั้นจะขยายสงคราม ความยากจนและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม โดยอาศัยกลไกที่ชัดเจนดังกล่าว คือ การแบ่งโลกออกเป็น “ผู้กดขี่” และ “ผู้ถูกกดขี่” แต่อิสลาม หมายถึงการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งเกิดมาจากแนวคิดแห่งอิสลามดังกล่าว ได้มาและกล่าวว่า «لا تَظلِمونَ وَ لا تُظلَمون» “พวกเจ้าจะไม่อธรรมและจะไม่ถูกอธรรม” นั่นหมายความว่า (อิสลาม) จะปฏิเสธปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ ความท้าทายที่สำคัญก็คือสิ่งนี้ การเป็นปฏิปักษ์ต่างๆ ต่อการปฏิวัติก็อยู่ที่ประเด็นนี้ คำพูดอื่นๆ นั้นเป็นเพียงเหตุผลข้ออ้าง การคว่ำบาตร สงครามกลางเมือง การสร้างรัฐประหาร รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ อย่างเช่นปัญหาพลังงานนิวเคลียร์ ทั้งหมดเหล่านั้นจะต้องพิจารณาในกรอบนี้ : มีการปฏิวัติหนึ่งเกิดขึ้น มันได้รับชัยชนะ ได้จัดตั้งรัฐบาล และรัฐบาลนั้นก็ดำรงอยู่ได้และจะยังคงดำรงอยู่ต่อไป ซึ่งตรงกันข้ามกับจินตนาการของคนทั้งโลก ที่พวกเขาคาดคิดว่าสาธารณรัฐอิสลามจะต้องถูกทำลายลงภายในระยะเวลาหกเดือน หนึ่งปี สองปี แล้วต่อมาพวกเขาก็ยึดเวลาออกไปอีกเล็กน้อยว่าภายในสามสี่ปี แต่วันแล้ววันเล่ากลับแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในทุกๆ วัน

اَصلُها ثابِتٌ وَ فَرعُها فِى السَّماء. تُؤتى اُكُلَها كُلَّ حينٍ بِاِذنِ رَبِّها

“รากของมันหยั่งลึกมั่นคงและกิ่งก้านของมันชูไสวขึ้นไปในท้องฟ้า ผลของมันจะออกมาตลอดเวลา (ทุกฤดูกาล) โดยอนุมัติของพระผู้อภิบาลของมัน” (3)

และกลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจแห่งภูมิภาค มันกลายเป็นประเทศหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อปัญหาสำคัญต่างๆ ของโลก พวกเขาจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งนี้ เป็นศัตรูกับสิ่งนี้

 พวกเขาหยิบยกปัญหาเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ เราไม่ยอมรับอาวุธนิวเคลียร์ ไม่ใช่เพราะนายเซดและนายอัมร์ (นายดำนายแดง) ไม่ใช่เพราะอเมริกาหรืออื่นจากอเมริกา แต่เพราะหลักความเชื่อของเรา ทุกคนจะต้องไม่มี (อาวุธนิวเคลียร์) เมื่อเรากล่าวว่า พวกท่านจะต้องไม่มีนั้น ความหมายของมันก็คือ ตัวของเราเองจะพูดอย่างมั่นคงหนักแน่นว่า “เราก็จะต้องไม่มีและจะไม่ยอมมี” แต่ปัญหาของพวกเขานั้นคือปัญหาอื่น พวกเขาจะไม่มีปัญหาใดๆ หากสมมุติว่าประเทศอื่นๆ บางประเทศจะมีโดยที่มันจะไม่ทำให้การผูกขาดของพวกเขาเสียหาย อย่างไรก็ตาม แม้พวกเขาจะไม่ต้องการให้การผูกขาดของพวกเขาเสียหาย พวกเขาจะไม่โหวกเหวกโวยวายเหมือนวันอวสานของโลกเกิดขึ้น แต่ในกรณีของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านพวกเขาโหวกเหวกโวยวายเหมือนกับวันอวสานของโลกเกิดขึ้น ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? นั่นก็เพราะว่าการมีศักยภาพเช่นนี้ พลังอำนาจเช่นนี้ จะเป็นหลักประกันความมั่นคงของระบอบ «لا تَظلِمونَ وَ لا تُظلَمون» “ไม่กดขี่และไม่ยอมรับการกดขี่” นี้ ความท้าทายหลักก็คือสิ่งนี้ จึงจำเป็นต้องเข้าใจในเรื่องนี้ จะต้องมองในสิ่งนี้ เราจะต้องอธิบายและวิเคราะห์ท่าทีต่างๆ ของอเมริกา ตะวันตก รวมทั้งประเทศและกลุ่มกระแสอื่นๆ ที่อยู่ในเครือข่ายและผูกใจติดอยู่กับประเทศเหล่านี้ ในบริบทดังกล่าวนี้ นี่แหละคือการปฏิวัติอิสลาม ในสายตาของศัตรูเหล่านี้ ไม่มีใครที่จะน่าชิงชังยิ่งไปกว่าท่านอิมามโคมัยนี ผู้เป็นที่เคารพรักของเรา ผู้เป็นโฉมหน้าที่โดดเด่นโชติช่วงดังพระอาทิตย์ พวกเขาเคารพให้เกียรติต่อท่าน แต่พวกเขาก็เป็นศัตรูต่อท่านจากก้นบึ้งของหัวใจ เนื่องจากการยืนหยัดของท่านและคุณลักษณะพิเศษสองประการของท่านอิมามที่ไม่มีใครเหมือน คือ “วิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้ง” และ “ความแน่วแน่มั่นคงอย่างสมบูรณ์” ท่านมองเห็นอย่างชัดเจน มีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง อีกทั้งยืนหยัดอย่างแน่วแน่มั่นคง ท่านจึงเป็นปราการหนึ่งที่ขวางกั้นความก้าวหน้าของพวกเหล่านี้ และเผชิญหน้ากับการข่วน การกัดต่อย และการทุบตีของพวกเหล่านี้ แต่ดั่งที่เราได้กล่าวไปแล้วว่า พวกเขาเคารพให้เกียรติท่าน เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของท่าน แต่ทว่ายิ่งมีความยิ่งใหญ่มากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นที่ชิงชังของพวกเขามากขึ้นเท่านั้น ในวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน ใครก็ตามที่ยึดมั่นต่อคุณค่าอันเป็นหลักการเหล่านี้ หมายถึงค่านิยมที่เป็นตัวกำหนดเอกลักษณ์ทางการเมืองของการปฏิวัติที่ว่า «لا تَظلِمونَ وَ لا تُظلَمون» “ไม่กดขี่และไม่ยอมรับการกดขี่” ใครที่ยืนหยัดมากกว่า และเข้าใจถึงต้นตอของปัญหาต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบรรดาศัตรู ที่มีต่อระบอบอิสลามนั้น จะอยู่ในบริบทนี้ ใครก็ตามที่มีวิสัยทัศน์เช่นนี้และยืนอย่างมั่นคงในหนทางนี้ ก็ย่อมจะเป็นที่เกลียดชังสำหรับพวกเขามากเพียงนั้น อย่างไรก็ตาม โลกของการทูตคือโลกของการยิ้มให้กัน พวกเขาจะยิ้มให้กัน อีกทั้งทำการเจรจาต่อรองกัน เรียกร้องให้มีการเจรจาต่อกัน พวกเขาเองก็จะพูดเช่นนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ พวกเขาได้กล่าวกับนักการเมืองชาวตะวันตกผู้หนึ่งว่า “ท่านต้องการที่จะเจรจากับอิหร่านหรือ อิหร่านคือศัตรูนะ” เขากล่าวว่า “เราก็จะต้องเจรจากับศัตรู!” หมายความว่าพวกเขายอมรับอย่างชัดเจนว่าเป็นศัตรูกับอิหร่าน สาเหตุของความเป็นศัตรูนั้นไม่ใช่ตัวบุคคล แต่สาเหตุของความเป็นศัตรูนั้นคือความจริงข้อนี้และอัตลักษณ์ดังกล่าวนี้ ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นจะต้องอธิบายและวิเคราะห์ในบริบทนี้ จะต้องเข้าใจในบริบทนี้ เราไม่ได้คัดค้านต่อการดำเนินการต่างๆ ในการเจรจาที่ถูกต้องและเป็นตรรกะ ไม่ว่าจะเป็นในโลกของการทูต ไม่ว่าจะในโลกของการเมืองภายในประเทศ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นต่อสิ่งที่ถูกตั้งชื่อไปแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ว่า "การประนีประนอมอย่างผู้ผู้ชนะ" การประนีประนอมในบางที่บางโอกาสนั้นเป็นสิ่งจำเป็นมาก เป็นสิ่งที่ดีมาก ไม่มีปัญหาอะไร แต่นักมวยปล้ำที่กำลังปล้ำอยู่กับคู่ต่อสู้ของตนเอง และในโอกาสต่างๆ ด้วยเหตุผลทางเทคนิค ได้แสดงการปรนีประนอมออกไปนั้น เขาจะต้องไม่ลืมว่าฝ่ายตรงข้ามของเขาคือใคร เขาจะต้องไม่ลืมว่าเขากำลังทำงานอะไรอยู่ นี่คือเงื่อนไขสำคัญ คือพวกเขาจะต้องเข้าใจว่าพวกเขากำลังทำอะไร จะต้องเข้าใจว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับใคร พวกเขากำลังต่อสู้อยู่กับใคร กระแสคลื่นต่างๆ ของการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามของพวกเขานั้นอยู่ที่ปัญหาอะไร พวกเขาจะต้องตระหนักต่อสิ่งนี้ให้ได้

ข้อมูลจากไซต์  http://www.sahibzaman.com

เชิงอรรถ : (1) ซูเราะฮ์อัลบากอเราะฮ์/ส่วนหนึ่งจากอายะฮ์ที่ 279 (2) นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ (3) ซูเราะฮ์อิบรอฮีม/ส่วนหนึ่งจากอายะฮ์ที่ 24 และ 25