การได้รับการชี้น้ำจากสุนทรพจน์ของอิมามฮุซัยนฺ (อ.)

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ผู้ทรงพระปรานี ผู้ทรงพระเมตตาย่ิ่ง

  เหตการณ์กัรบะลา มิใช่อดีต ทว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ วันี้ เมื่อวานนี้ และในอนาคต ครอบคุมทุกพื้นที่บนโลกนี้ กัรบะลาคือนิทรรศกาลที่แสดงถึงความสมบูรณ์ของมนุษย์คนหนึ่ง ในแง่อีมาน ความเสียสละ ความอดทน ความยำเกรง ความเป็นมนุษย์ นมาซ ซะกาต การเชิญชวนไปสู่ความดี ห้ามปรามความชั่วร้าย กัร บะลามิใช่ประกายไฟฟนึ่งที่ถูกจุดขึ้นอันเป็นความร้อนระอุในใจของมวลผู้ศรัทธาเท่านั้น เหรือไม่ใช่น้ำที่หยุดนิ่งอยู่กับที่แต่อย่างใด ทว่าเป็นเสมือนสายน้ำที่ไหลรินไปทั่วสารทิศ ไหลรินไปทั่วทุกเส้นเลือดของเยาชนคนหนุ่มสาว จากเราะซูลจนถึงอิมามมะฮฺดีทุกคนกล่าวถึงเหตุการณ์กัรบะลาในแง่มุมต่างๆ  ดังนั้น ความยิ่งใหญ่ของกัรบะลาจึงมิได้สรุปอยู่แค่เพียงความเศร้าสลด เสียใจเท่านั้น แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งก็ตาม สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ การนำจริยธรรม การอบรมสั่งสอน จากคำพูดและเจตนารณ์ของท่านอิมาม

فی شهر بصره : علی ان السنتت قد امتت

โอ้ ประชาชาติเอ๋ย ซุนนะฮฺของท่านศาสดาได้ตายจากไปเสียแล้ว ซุนนะฮฺของศาสดาหมายถึงอะไร ฮะดีซ คำอธิบาย คำแนะนำของท่านศาสดาที่มีต่อศาสนาและอัลกุรอาน เรียกว่า ซุนนะฮฺ อัลกุรอาน เป็นคำสั่งในภาพรวม แต่มิได้มีรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นนมาซ ซะกาต ฮัจยฺ และอื่น ๆ กุรอานคือ คัมภีร์แห่งฮิดายะฮฺ กุรอานกล่าวว่า “นมาซคืออิบาดะฮฺที่จะขจัดความลามกอนาจารให้หมดไป” แต่นมาซอย่างไร ท่านศาสดาต่างหากเป็นผู้อธิบายว่าจะทำอย่างไร วันนี้เราจึงไม่ควรถามว่า ทำไมนามของบรรดาอิมามไม่ปรากฏในกุรอาน ซึ่งมันไม่มี แต่อัลลอฮฺมีบัญชาให้เราปฏิบัติตาม อูลิลอัมริมินกุม เราจึงต้องตามหาว่าใครคือพวกเขา ท่านญาบิร อันซอรียฺกล่าวว่า อัลลอฮฺ และเราะซูล เป็นที่เข้าใจ แต่อูลิลอัมริคือใคร ท่านศาสดาแจ้งเขาที่ละชื่อ แต่วันนี้ซุนนะฮ์ของเราะซูลตายแล้ว ทำไมหรือ ก็เพราะยะซีดบุตรของมุอาวิยะฮฺขึ้นมาปกครอง ซุนนะฮฺของนะบีคือ ผู้มีความคู่ควรเหมาะสม แต่วันนี้ยะซีดขึ้นมาปกครอง ซุนนะฮฺของนะบีคือ ผู้มีความสามารถในการบริหารบ้านเมือง แต่วันนี้ผู้ปกครองไม่มีความสามารถ ไร้ศักยภาพขึ้นมาปกครอง ซุนนะฮฺของนะบีคือ การยืนหยัดเชิญชวนผู้คนไปสู่ความดีงาม แต่วันนี้ความชั่วร้ายได้ขึ้นมาชี้นำสั่งคม ซุนนะฮฺของนะบีคือ การให้เกียรติและแสดงความเคารพต่อบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ แต่วันนี้แม้แต่สวนฟะดักของฮะดียะฮฺ จากศาสดาที่ให้ฟาติมะฮฺก็ถูกแยงชิงไป เสวยผลประโยชน์ ท่านอิมามจึงกล่าวว่า ซุนนะฮฺของศาสดาตายเสียแล้ว ประโยคที่สอง ท่านกล่าวว่า บิดอะฮฺถูกยัดเหยียดเข้ามาในศาสนา บิดอะฮฺคือ สิ่งประดิษฐ์ที่ขึ้นโดยบุคคลตามอำเภอใจ หรือกระทำบางสิ่งที่ขัดแย้งกับศาสนา และกล่าวว่า สิ่งนั้นคือศาสนา อบีอิสฮาก กล่าวว่า ฉันเห็นชิมเมรนมาซหลังจากเหตุการณ์กัรบะลา กำลังวิงวอนขอโทษ ฉันเดินไปหาเขาแล้วบอกว่า น้ำหน้าอย่างเจ้ายังกล้ามาโทษอัลลอฮฺ อีกหรือ ทั้งที่เจ้าสังหารหลานรักของท่านศาสดา เขากล่าวว่า ฉันรู้ว่าฉันทำผิด ทำไม่ดี แต่การขัดคำสั่งเจ้านาย เป็นสิ่งเลวร้ายยิ่งกว่า บาปใหญ่ ฉันปฏิบัติตามคำสั่งเจ้านาย จะสังเกตเห็นว่าบาปสองอย่างที่เลวทั้งสองอย่าง เขาเลือกทำสิ่งที่มีประโยชน์กับตนเองมากกว่า แต่เขาลืมไปว่านั่นคือการขัดต่อคำสั่งนบี เพราะนบีบอกว่าอย่าเชื่อฟังใครที่สั่งให้ทำสิ่งที่ขัดต่อศาสนา อัมรุอาส เขากล่าวในวันอาชูรอว่า “โอ้ ทหารอย่าสงสัยลังเลต่อการสังหารฮุซัยนฺ  เพราะเขาคือ ผู้หลงไปจากศาสนาแล้ว ประหนึ่งลุกศรที่ถูกยิงออกจากคันธนู” วันที่ยะซีดได้ขึ้นปกครอง ประชาชนต่างท้วงติงกันยกใหญ่  มุอาวิยะฮกล่าวในลักษณะของการสร้าง บิดอะฮฺขึ้นว่า “การปกครองของยะซีด เป็นข้อกำหนดของพระเจ้า ฉะนั้น อย่าได้สงสัยหรือท้วงติงอย่างเด็ดขาด เมื่อซัยนุลอาบิดีน เข้าไปในห้องประชุมของอิบนิซิยาด เขากล่าวว่า นี่เป็นใคร ยังมีชีวิตอยู่ มีตอบว่าเขาคือ อะลี อิบนุซิยาดกล่าวว่า อะลี ถูกอัลลอฮฺ ฆ่าตายไปแล้วในกัรบะลา จะสังเกตเห็นว่า เขาโทษอัลลอฮฺว่าเป็นคนสังหาร อะลีอักบัร ในกัรบะลา อิมามซัยนุลตอบทันทีว่า นั้นคือ พี่ชายของฉันเอง อะลีอักบัร “กานะลีอะคุน” เจ้าเป็นคนฆ่าเขา มิใช่อัลลอฮฺ  จงอย่าโทษว่าอัลลอฮฺ หรือนี่เป็นข้อกำหนดของอัลลอฮฺ เพราะมันเกิดจากน้ำมือเจ้า เมื่ออิมามเข้าไปในห้องประชุมชองอิบนุซิยา เขาอ่านโองการว่า “ความทุกข์เศร้าเหล่านี้ล้วนมาจากพวกเจ้า อัลลอฮฺจึงลงโทษ” อัลลอฮฺ ตอ้งการให้เป็นอย่างนั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงโองการลงให้กับหมู่ชนที่ทำความผิดบาปอย่างรุนแรง อัลลลฮฺ จึงโทษพวกเขาโดยไม่ส่งน้ำฝนลงมา ทำให้เกิดความแห้งแล้ว อิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน (อ.) จึงกล่าวขึ้นว่า ไม่ใช่โองการไม่ได้ลงให้แก่เราเช่นนี้ เจ้าไม่สามารถเอาโองการนั้น มากล่าวหาว่าเป็นพวกเรา เนื่องจากโองการนี้ประทานลงแก่คนทำบาป โองการนี้ต่างหากที่ลงให้เรา “บรรดาผู้ที่ฆ่าตายในหนทางอัลลอฮฺ พวกเขาจะไม่ตาย แต่จะดำรงชีวิตอยู่ตลอดเวลา และได้รับปัจจัยจากอัลลออฺ เสมอ” โองการที่เจ้าอ่านมานั้นมันลงให้สังคมที่กระทำความชั่วร้าย ดังนั้น เราจะเห็นว่า พวกเขาเปลี่ยนแปลงซุนนะฮฺของท่านศาสดาอย่างไร แอบอ้างอัลกุรอานกันอย่างไร สงคามซิฟฟีน มีทหารคนหนึ่งอ่านอัลกุรอาน “และพวกเจ้าจะถูกถามถึงข่าวคราวอันยิ่งใหญ่” ขณะที่อ่านเขาก็ทำสงครามกับท่านอิมามอะลี (อ.) เขารบกับใคร เขารบกับกุรอานพูดได้ นั่นคืออะลี อิมามเข้าไปหาเขา แล้วถามว่าเจ้าเคยเห็นอะลีไหม เขาตอบว่าไม่ แต่ฉันรู้มาว่า อะลี ไม่นมาซ ไม่อ่านกุรอาน เป็นคนชั่ว อิมามถามเขาว่า เจ้ารู้ความหมายของโองการที่อ่านหรือไม่ เขาตอบว่า ไม่ เพราะมุอาวิยะฮฺห้ามตีความอัลกุรอาน แต่ฉันรู้เพียงว่า อ่านกุรอานจะได้รับผลบุญ รบกับอะลีก็จะได้ผลบุญด้วย อิมามถามเขาว่า แล้วเจ้ารู้ไหมว่า องค์ประกอบของโองการนี้เป็นใคร “ฉันนี่แหละคือ ข่าวคราวอันยิ่งใหญ่ที่พวกเจ้าจะถูกสอบถาม เจ้ากำลังรบกับบุคคลที่อักุรอานกล่าวถึง ประการที่สาม ท่านอิมามกล่าวว่า ถ้าพวกท่านเชื่อฟังฉัน ฉันจะชี้นำสั่งสอนพวกท่าน” ฮิดายะฮฺ อัลกุรอานบทอะฮฺรอฟ กล่าวว่า ประชาชนจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม “ฟะรีกุน ฮะดา” วะฟะรีกุน ฮักกะ อะลัยฮิมุซเซาะลาละฮฺ” กลุ่มหนึ่งได้รับทางนำ กลุ่มหนึ่งจะหลงทาง อย่าคิดนะว่าการหลงทางหรือการได้รับทางนำ เป็นข้อกำหนดของอัลลอฮฺ เพราะอัลกุรอาน กล่าวว่า

فرِيقًا هَدَى وَفَرِيقًا حَقَّ عَلَيْهِمُ الضَّلاَلَةُ إِنَّهُمُ اتَّخَذُوا الشَّيَاطِينَ أَوْلِيَاءَ مِن دُونِ اللّهِ وَيَحْسَبُونَ أَنَّهُم مُّهْتَدُونَ

พวกหนึ่งจะได้รับการชี้นำ อีกพวกหนึ่งสมควรแก่พวกเขาแล้วซึ่งการหลงผิด  (เพราะอะไรหรือ) แท้จริง พวกเขาได้ยึดเอาบรรดาชัยฏอนเป็นผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอหฺ และพวกเขาคิดว่าพวกเขาคือผู้ที่ได้รับการชี้นำ (อะอฺรอฟ 30) อัลลอฮฺ ต้องการฮิดายะฮฺ ใคร ย่อมทำได้เสมอไม่ว่าจะเป็นสัตว์ หรือมนุษย์ และไม่แตกต่างกันว่าเป็นใคร เชื่อชาติอะไรก็ตาม “ถ้าเราประสงค์เราะจะชี้นำพวกเจ้าทั้งหมด”

สัญลักษณ์ของการ ชี้นำคืออะไร (ฮิดายะฮฺ)

จะยกโองการของผู้ที่ได้รับทางนำว่าเป็นอย่างไร กัรบะลาคือ แสดงให้เห็นว่าใครคือ ผู้ได้รับทางนำ และใครก็คือบุคคลที่ไม่ได้รับทางนำ ในกัรบะลา มีพี่น้องสองคนเข้าร่วมคนหนึ่ง เข้าร่วมกับท่านอิมามฮุซัยนฺ (อ.) และอีกคนเข้าร่วมกับกองทัพของอัมรมะริฟสะอัด  คนที่เข้าร่วมกับอิมามฮุซัยนฺ ชื่อว่า  อัมมะริบ กะระเซะ ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อว่า อะลี บุตรของ กะระเซะ คนหนึ่งคือ บุคคลขึ้นชื่อว่าเป็น فرِيقًا هَدَى  ส่วนอีกคนหนึ่งคือ وَفَرِيقًا حَقَّ عَلَيْهِمُ الضَّلاَلَةُ คนที่เข้ากองทัพอัมมะริฟสะอัด เข้ามาชวนพี่ชายของเขาว่า ไปเถิดอย่าร่วมกับฮุซัยนฺเลย เพราะเจ้าจะไม่ได้รับอะไรเลยนอกจากความตาย ที่กองทัพของสะอัด มีทุกอย่าง น้องชายเมื่อใกล้จะชะฮีด เขาร้องเรียกอิมาม เมื่อชะฮีดแล้ว พี่ชายของเขากล่าวว่า “ฮุซัยนฺท่านคือผู้ที่ทำให้น้องชายของฉันหลงทาง” อิมามกล่าวว่า มิใช่เช่นนั้น ทว่าน้องชายของเจ้าได้รับทางนำแล้วต่างหาก เขาอยู่ในสวรรค์แล้ว เจ้าต่างหากที่หลงทาง อีกตัวอย่างหนึ่งในกัรบะลาอฺคือ บุรัยต์ เขาเป็นครูสอนกุรอาน วันอาชูรอ เขามากัรบะลา มีชายคนหนึ่งชื่อว่า ยะซีด บุตรของมะกัล เขารู้จักบุเรตเป็นอย่างดีว่าเป็นใคร เขาแปลกใจว่า บุเรต ท่านมาทำอะไร ที่นี้ ท่านหลงทางไปแล้ว ท่านไปทำอะไรที่กองคาราวานของฮุซัยนฺ บุเรต กล่าวว่า แล้วเจ้าไปทำอะไรที่กองทัพของ อุมมะริฟสะอัด เจ้าไปอยู่ฝ่ายชาวนรกทำไม สองคนต่างโต้เถียงกันครึกโครม จนในที่สุดเขาต่าง ท้ากันออกไปสาบถว่าความจริงคืออะไร โดยสาบถว่า “ใครก็ตามที่ไม่ได้อยู่ข้างสัจธรรมขอให้ถูกฆ่าตายก่อน” ทั้งสองต่างคนต่างสาบถกัน เมื่อเริ่มต่อสู้กัน  ทหารของยะซีดมีมากกว่าเริ่มโจมตี และได้สังหารบุเรตจนชะฮีด พร้อมกับตัดศรีษะไปฝากยะซีด เมื่อครอบครัวของบุเรตเห็นเข้า พวกเขาต่างสาปแช่ง และกล่าวว่า พวกเจ้าไม่อายอัลลอฮฺ หรือ บุเรตสอนอัลกุรอานให้ลูกหลานของพวกเจ้า วันอาชูรอ ศัตรูต้องการโจมตีกองคาราวานของท่านอิมาม แต่อิมามขุดสนามเพลาะรอบคัยมะฮฺ เพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้เข้ามาทำร้าย เหล่าสตรี แต่มีชายคนหนึ่งนามว่า อับดุลลอฮฺ อิบนิเฮาซะฮฺ เขาพูดประโยคหนึ่งที่เชือดเฉือนหัวใจของท่านอิมามอย่างยิ่ง อิมามสาปแช่งเขา และกล่าวว่า โอ้ อัลลอฮฺ โปรดสาปแช่งเขา และเผาเขาด้วยไฟแห่งโลกนี้ ทันใดนั้น ม้าวิ่งออกไปเชือกผูกม้าพันขาเขา และลากเขาตกไปในสนามเพลาะ ถูกไฟครอกตายในที่สุด ใครเห็นก็น่าจะนำไปเป็นบทเรียน แต่ มุฮัมมัด อิบนิ  อัชอะชิบนิเกส ลูกของอัชอัช เห็นเหตุการณ์นั้นกับตาตัวเอง เขาเข้ามาหาอิมาม แล้วกล่าวว่า โอ้ อิมามอย่าคิดนะว่า ดุอาอฺ ของท่านถูกยอมรับ ทว่าท่านมีฐานันดร ณ อัลลอฮฺ ต่างหาก ความตายมาถึงเขา หรือเขาถึงอะญัล นั่นเอง และเหล่านี้คือตัวอย่างของกลุ่มชนที่ได้รับทางนำ และหลงทาง

สัญลักษณ์ของ ผู้ที่ได้รับการชี้นำจากอัลกุรอาน

อัลกุรอานกล่าวว่า

1) “อินนัลลอฮะ ละฮาดิลละซีนะ อามะนู” บุคคลที่มีอีมานคือบุคคลที่ได้รับทางนำ มุอฺมินคือใคร มุสลิมคือใคร อิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิม กับอีมาน ประหนึ่งความสัมพันธ์ ระหว่างมักกะฮฺกับมัสญิดฮะรอม ใครก็ตามที่เขาไปในมัสญิดฮะรอม เขาเข้าไปในกะอฺบะฮฺด้วยหรือ แต่บุคคลที่เข้าไปในกะอฺบะฮฺ เท่ากับเขา เข้าไปในมัสญิดฮะรอมด้วย” อิมามซัจญาด (อ.) กล่าวว่า “อะลามาตมุอฺมิน คอมซะฮฺ -           อัลวะระอุล ฟิลคัลวะ” มุอฺคือผู้ที่อยู่ตามลำพัง เขามีตักวา ไม่ทำบาปไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม จะอยู่ต่อหน้าและลับหลัง -           อัซซับรุ ฟิลมุซีบัติ” -           อัซซิดกุ ฟิล เคาฟ์” พูดจริงแล้วอาจเกิดอันตรายแก่ตัวเอง แต่ไม่กลัว เพราะถ้าเขาไม่พูดจริงอาจเป็นอันตรายกับคนอื่นก็ได้ -           อัซซะดะกุ ฟิลกิลละฮฺ “ บริจาคทานขณะที่มีน้อยนิด -           อัลอิลมฺ อินดะ ฆะซับ” มีขันติธรรมยามมีโมหะ โกรธคือโง่ โมฆาคือบ้า 2) คนที่เตาบะฮฺคือผู้ได้รับทางนำ มุอฺมินเมือทำผิดเขากล่าวลุกโทษ อบูซัรเคยกล่าว คำพูดรุนแรงกับท่าน บิลาล เมื่อนึกขึ้นได้ขณะอยู่กลางซอย เขารออนคว่าหน้ากับพืน แล้วกล่าวกับบิลาลว่า โอ้ บิลาบ โปรดเอาเท้าเหยียบหน้าฉัน พร้อมกับกล่าวว่า อบูซัรฉันอภัยให้แล้ว อภัยแก่ฉันเถิด ฮะดีซกุดวี “ท่านเราะซูลกล่าวว่า “อัลลอฮฺตรัสว่า ซิตตะตุน มินนี วะซิดดะตุน มินกุม -           อัลมัตฟิเราะมินนี อัตเตาบะตะ มินกุม,  ท่านศาสดา เองยังกล่าวประโยตนี้ทั้งที่ท่านไม่เคยทำความผิด แต่บางครั้งเผอิญได้ยิน การขออภัยมิใช่ว่าเรากระทำผิด แต่เป็นการทำให้จิตใจของเราปราศจากสนิมใจ -           อัซริซกิมินนี อัชชุกรุมินกุม  ปัจจัยมาจากข้า ขอบคุณมาจากเจ้า -           อันยันนะตุมินนี วัฏฏออะตุมินกิม  สวรรค์มาจากข้า ส่วนการภักดีมาจากเจ้า หมายถึงมนุษย์คือผู้สร้างสวรรค์ แต่อัลลอฮฺ คือผู้ประทานสวรรค์แก่มนุษย์ -           อัตยะวาบุมินนี วัดดุอาอะมินกุม การตอบรับมาจากข้า ส่วนการวิงวอนมาจากเจ้า -           อัลกะฎออุมินนี  อัรริฎออุมินกุม  การตัดสิน หรือการจำกัดมาจากข้า แต่ความพึงพอใจมาจากเจ้า -           อัลบะลาอุมินนี อัซซับรุมินกม การทดสอบมาจากข้า แต่ความอดทนมาจากเจ้า 3)  ผู้ที่ได้รับทางนำคือผู้ที่มีความอดทนอดกลั้น 4) นั่นคือกิตาบ ที่ไม่มีความสงสัยเคลือบแคลง เป็นทางนำแก่ผู้ยำเกรง ผู้ที่ได้รับทางนำคือ ผู้ที่สัมพันธ์อยู่กับอับกุรอาน อย่างน้อยต้องอ่านอัลกุรอานทุกวัน 5) ผู้ที่ได้รับทางน้ำคือ ผู้ที่มีสัมพันธืกับอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) เนื่องจากพวกเขาคือ ผู้ด้รับทางนำแล้ว “สะอิดะมัน วาลากุม ฮะละกะมันอาดากุม คนที่สัมพันธ์กับท่าน โปรดชี้นำทางพวกเขาเถิม