ความสะอาดบริสุทธิ์ในครอบครัว

อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสว่า “หนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ ทรงสร้างคู่ครอง ให้แก่สูเจ้าจากตัวตนของสูเจ้า เพื่อสูเจ้าจะได้มีความสุขสำราญอยู่กับนาง และทรงให้มีความรักและความเมตตาระหว่างสูเจ้า” [1] สังคมได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยมีองค์ประกอบสำคัญมาจากลำธารเล็กๆ ที่ไหลรินมาจากครอบครัว ดังนั้น ถ้าลำธารเหล่านี้เปรอะเปื้อนและเจือปนได้ด้วยนำครำ สิ่งโสโครก และปฏิกูลทั้งหลายแล้วละก็ น้ำในลำธารนั้นก็จะสกปรกไม่มีเหมาะสมสำหรับการนำมาใช้อีกต่อไป และไม่ต้องคาดหวังอีกต่อไปว่าน้ำในทะเลและมหาสมุทร จะดีและสะอาดหน้าใช้สอยอีกต่อไป เนื่องจากมหาสมุทรอันกว้างไพศาลนี้ได้เชื่อมต่อกับลำธารเล็กๆ ที่ไหลรินมาจากครอบครัว เพราะสังคมอันเปรียบเสมือนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล ได้ถูกจัดตั้งขึ้นจากครอบครัวเล็กๆ โรงเรียน สถาบัน หมาวิทยาลัย เมืองต่างๆ หมู่บ้านน้อยใหญ่ ได้รวมตัวกันเป็นสังคม โดยจัดตั้งมาจากครอบครัวที่มีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามจึงให้ความสำคัญต่อครอบครัวไว้เป็นพิเศษ ดังโองการที่กล่าวอธิบายไปแล้วข้างต้น ท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) กล่าวว่า خَيْرُكُم خَيْرُكُمْ لِاَهْله وأنَاخَيْرُكُم لِاَهلي บางคนอยู่นอกบ้าน หรือในสถานที่ทำงานของตนเป็นผู้ประพฤติตัวดีมาก เขาทำตัวดีกับเพื่อนๆ ทั้งในสถานที่ทำงาน ตามที่สาธารณะ และบนถนนหนทาง แต่พออยู่ในบ้านกลับมีความประพฤติที่ยอดแย่ ท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) กล่าวว่า ความดีและความชั่วของท่านสามารถตรวจสอบได้จากครอบครัว เนื่องจาก“บุคคลที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน คือบุคคลที่ทำดีสุดกับคอบครัว ครอบครัวมีความพอใจในตัวเขา และฉันคือผู้ที่ดีสุดในหมู่พวกท่าน ที่ทำดีกับครอบครัว”[2] หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า {مااكرمُ النسا الاكريم ولاأهانَهُنِّ الا لئیم} “บรรดาผู้ชายหรือบุคคลที่ดูถูกเหยียดหยามภรรยาของตนล้วนเป็นคนเลวทราม ส่วนบุคคลที่ยกย่องให้เกียรติครอบครัวของตนคือ ผู้มีเกียรติ”[3] เกณฑ์ของความเลวทรามและเกียรติยศของผู้ชายอยู่ที่การนิ่งเงียบของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) ท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) กล่าวว่า “จงถามเหล่าภรรยาของพวกเขาว่า พวกนางพอใจพฤติกรรมของพวกเขาหรือไม่ พวกเขาให้เกียรตินางหรือไม่ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์จะไม่ดูถูกเหยียดหยามคนอื่น เว้นเสียแต่ว่าเขาเป็นคนเลวทรามที่ชั่วร้าย และนี่คือมาตรวัดความดีความชอบที่ท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) ได้มอบแก่ปวงมนุษย์ ในอีกที่หนึ่งท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) กล่าวว่า {ملعون ملعون} ท่านกล่าวถึงการสาปแช่งว่า “เขาจะถูกสาปแช่ง เขาจะถูกสาปแช่ง {من ضيَّعَ من يعُوْل} ผู้ที่ทำลายสิทธิของครอบครัว”[4] ไม่เห็นความสำคัญและไม่เอาใจใส่ดูแลพวกเขา ประเด็นสำคัญเหล่านี้คือสิ่งที่ศาสนา โองการ และรายงานฮะดีซได้กล่าวกำชับเอาไว้ และแน่นอนไม่มีองค์กร หรือสถาบัน หรือมหาวิทยาลัย หรือศาสนาใดจะสอนเรื่องสิทธิครอบครัว ได้ดีเยี่ยมไปกว่าอิสลาม ประเด็นที่จะกล่าวต่อไปนี้จัดได้ว่าเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ประเด็นหนึ่งเป็นเรื่องของสิทธิ ส่วนอีกประเด็นเป็นสิ่งสำคัญเกี่ยวกับมารยาทในครอบครัว นั่นคือเรื่องของฮิญาบ และความสะอาดบริสุทธิ์ ทั้งโองการและรายงานจำนวนมากมายกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวเอาไว้ แต่จะขอกล่าวอธิบายเป็นสังเขป เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ท่านผู้อ่านทุกท่านทั้งชายและหญิง ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ว่าทุกวันนี้ ปัญหาเรื่องฮิญาบและการรักษาความบริสุทธิ์ ยังไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมโลก เพราะจะสังเกตเห็นว่าการไม่เอาใจใส่ต่อเรื่องฮิญาบ และการรักษาความบริสุทธิ์ ได้กลายเป็นปัญหาระดับโลกไปแล้ว ซึ่งยากต่อการแก้ไขเยียวยา เพราะเขตแดนระหว่างชายกับหญิงได้ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น ฉะนั้น ตรงนี้ ต้องการกล่าวแนะนำถึงบุคคล 2 คน ที่อัลกุรอาน กล่าวถึงแก่ท่านผู้อ่านทั้งหลาย เนื่องจากบุคลิกภาพของทั้งสองท่านี้คือ แหล่งกำเนิดของความบริสุทธิ์ ฮิญาบ และความอับอาย บุคคลเหล่านั้นเป็นใคร คนหนึ่งคือ ศาสดายูซุฟ (อ.) และอีกคนหนึ่งคือ ท่านหญิงมัรยัม มารดาของท่านศาสดายูซุฟ ความสะอาดบริสุทธิ์ของศาสดายูซุฟ (อ.) อัลกุรอาน กล่าวว่า ครั้นเมื่อยูซุฟตกอยู่ในห้องที่ปิดล็อคอย่างแน่นหนา กำลังเผชิญหน้ากับความผิด  وَلَقَدْ هَمَّتْ بِهِ}} แท้จริง นางได้ตกลงใจในตัว ซุไลคอได้วิ่งตามยูซุฟ{ وَهَمَّ بِهَا}  ศาสดายูซุฟขณะนั้นเป็ฯหนุ่มฉกรรจ์ รูปหล่อ และเป็นโสด ท่านย่อมมีความต้องการทางธรรมชาติ { لَوْلا أَن رَّأَى بُرْهَانَ رَبِّهِ} และเขามาตรมิเพราะว่าได้เห็นหลักฐานจากพระผู้อภิบาลของเขา เขาก็ตกลงใจในตัวนาง เช่นนั้นแหละเพื่อเราจะให้ความชั่วและการลามกห่างไกลไปจากเขา แท้จริง เขาคือปวงบ่าวผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งของเรา[5]   แต่เนื่องจากความกรุณาของอัลลอฮฺ ประกอบกับคุณธรรมที่อยู่ในใจของศาสดายูซุฟ (อ.) ได้ปกป้องท่านให้ผ่านพ้นจากวิกฤติอันเลวร้ายด้านกามรมณ์ ท่านได้ช่วยเหลือตัวเองให้รอดพ้นจากเหตุการณ์นั้น นี่คือตัวอย่างหนึ่ง ความสะอาดบริสุทธิ์ของท่านหญิงมัรยัม ตัวอย่างที่สองคือ ท่านหญิงมัรยัม เมื่อท่านหญิงนั่งอยู่ตามลำพัง ท่านเห็นชายคนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาท่าน อัลกุรอานกล่าวว่า ท่านหญิงมัรยัมได้กล่าวแก่ชายคนนั้นโดยไม่ให้ความสำคัญแก่เขา แต่เป็นการกำชับมิให้กระทำความผิด และเชิญชวนไปสู่การทำความดี ท่านหญิงมัรยัมกล่าวว่า قَالَتْ إِنِّي أَعُوذُ بِالرَّحْمَن مِنكَ إِن كُنتَ تَقِيًّا “แท้จริงฉันขอความคุ้มครองต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานีของฉันให้พ้นจากท่าน หากท่านเป็นผู้มีความสำรวมตน”[6] คำพูดของท่านหญิงมัรยัม เป็นคำพูดที่มีความคล้ายคลึงกับคำพูดของศาสดายูซุฟที่กล่าวว่า  { لَوْلا أَن رَّأَى بُرْهَانَ رَبِّهِ} “เขามาตรมิเพราะว่าได้เห็นหลักฐานจากพระผู้อภิบาลของเขา” ซึ่งบ่งบอกให้เห็นว่าทั้งสองคือ แหล่งกำเนิดของความสะอาดสงบ เพราะหลักฐานจากพระผู้อภิบาลของยูซุฟ ได้ช่วยเหลือยูซุฟให้รอดพ้นจากวิกฤติ ส่วนท่านหญิงมัรยัมได้ขอความคุ้มครองจากพระผู้อภิบาล ซึ่งทั้งสองได้ย้อนกลับไปสู่สิ่งเดียวกันนั่นคือ ตักวา (ความสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ) หมายถึงการหลีกเลี่ยง หมายถึง ความสะอาดบริสุทธิ์ ดังนั้ อัลกุรอานได้ยกย่องให้ยูซุฟเป็นแบบอย่างความบริสุทธิ์สำหรับผู้ชาย ส่วนท่านหญิงมัรยัมคือ แบบอย่างความบริสุทธิ์สำหรับหญิง บางรายงานกล่าวว่า เมื่อวันกิยามะฮฺมาถึง บุคคลที่กระทำบาปด้วยการผิดประเวณีเป็นกิจวัตร หรือประกอบความชั่วอย่างเสรี จะมีผู้ถามพวกเขาว่า ทำไมถึงกระทำเช่นนั้น พวกเขากล่าวว่า พวกเราเป็นวัยรุ่น พวกเรามีใบหน้าที่สวยงามและหล่อ จะมีเสียงกล่าวว่า จงนำยูซุฟออกมา แล้วดูซิว่าใครมีหน้าตาหล่อกว่ากัน  เมื่อถามผู้หญิงที่ทำบาปว่า ทำไมพวกเธอจึงทำความผิดเล่า พวกนางจะกล่าวว่า เพราะพวกเราเป็นวัยรุ่น พวกเรามีความต้องการตามธรรมชาติ หลังจากนั้นจะมีเสียงพูดว่า จงพามัรยัมออกมายังพวกนาง แล้วมีเสียงกล่าวว่า นี่คือมัรยัมมารดาของอีซา แล้วพวกเจ้าจงพิจารณาดูซิว่าระหว่างพวกเจ้ากับมัรยัมใครดีกว่ากัน”[7] คำสั่งอัลกุรอานเกี่ยวกับความบริสุทธิ์และฮิญาบ อัลกุรอาน จะนำเสนอแบบอย่างแก่มนุษย์ ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนาก็ตาม อัลกุรอาน บทอะฮฺซาบ โองการที่ 59 กล่าวว่า ถ้าหากเจ้าปกปิดร่างกายจะก่อให้เกิดประโยชน์สำคัญสองประการ โปรดพิจารณาประโยชน์สำคัญสองประการต่อไปนี้ โองการกล่าวว่า { يَا أَيُّهَا النَّبِيُّ قُل لِّأَزْوَاجِكَ} “โอ้ นบี จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า” อันดับแรกพระองค์มีบัญชาให้ท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) กล่าวแก่ภรรยาของท่านก่อน เนื่องจากผู้นำสังคมอันดับแรกต้องจัดการปรับปรุงครอบครัวให้เรียบร้อยเสียก่อน ถ้าเบื้องต้นมิได้จัดการปรับปรุงครอบครัวของตน หรือมิได้สั่งสอนครอบครัวตนเองก่อน เขาจะไม่สามารถสั่งสอนประชาชน และไม่สามารถจัดการสังคมได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺ (ซบ.) จึงได้เริ่มต้นจากบรรดาภริยาของท่านเราะซูล (ซ็อลฯ) ก่อนใคร ตรัสว่า “โอ้ นะบี จงกล่าวแก่เหล่าภริยาของเจ้า  บุตรสาวของเจ้า” หลังจากนั้นให้กล่าวแก่ “เหล่าสตรีผู้มีศรัทธา” อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงมีบัญชาให้เราะซูล (ซ็อลฯ) กล่าวสิ่งใดแก่พวกนาง ทรงให้กล่าวว่า { يدْنِينَ عَلَيْهِنَّ مِن جَلَابِيبِهِنَّ} “ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของตนลงมาปิดร่างของตน” คำว่า ญะลาบีบ หมายถึงผ้าผืนยาวที่ปกปิดตั้งแต่ด้านบนลงมา เหมือนกับเสื้อคลุมที่ยาวเป็นชุดเดียวกัน ในลักษณะที่ว่าเมื่อคลุมแล้วมองไม่เห็นปกเสื้อหรือลำคอ และนี่คือโองการอัลกุรอานที่กล่าวเกี่ยวกับฮิญาบ ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า “การปฏิเสธฮิญาบเท่ากับเป็นการปฏิเสธสิ่งจำเป็นของศาสนา ถือเป็นผู้ปฏิเสธ เนื่องจากสิ่งจำเป็นของศาสนาได้ถูกปฏิเสธ โองการข้างต้นจัดว่าเป็นโองการที่ชัดเจนที่สุด เนื่องจากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า { ذَلِكَ أَدْنَى أَن يُعْرَفْنَ} นั่นเป็นความเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก ซึ่งสิ่งนี้จะกลายเป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้สตรีมุสลิมที่คุมฮิญาบเป็นที่รู้จัก และทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างสตรีที่คุมฮิญาบ กับสตรีที่ไม่คุมฮิญาบ และสตรีที่ไม่มีความสำรวมตนจากความชั่ว ดังนั้น การคุมฮิญาบของสตรีมุสลิมจึงเป็นเสมือนการเสริมบุคลิกภาพของสตรีให้ดูดีและมีสง่า ท่านอิมามอะลี ริฎอ (อ.) ขณะนั่งอยู่ มีเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อมีคนเดินเข้ามาพวกเขาได้เอามือลูบศีรษะ – โดยปกติแล้วผู้ใหญ่ที่เอามือลูบศีรษะเด็กจะไม่มีอารมณ์ หรือมีความใคร่อันใด เขาจะรู้สึกรักและสงสาร- เมื่อเด็กคนนั้นเดินมาถึงอิมามริฎอ (อ.) ท่านอิมามกล่าวว่า “เด็กคนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว พวกเขาตอบว่า 5 ขวบ ท่านอิมาม (อ.) ได้ชี้ให้พาเด็กออกไป หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า จงอย่าเข้ามาในสังคมโดยไม่คุมฮิญาบเด็ดขาด สตรีท่านหนึ่งอิมามซะมาน (อ.) ได้มาพบนาง ท่านมัรฮูม ซัยยิด มุฮัมมัด บากิร ซิซตานียฺ (รฎ.) กล่าวว่า ฉันตัดสินใจว่าฉันจะเดินทางไปพบท่านอิมามซะมาน (อ.) จึงได้เข้าร่วมอ่านซิยารัตอาชูรอ ณ มัสญิดมัคละฮฺ ทุกวันศุกร์นาน 40 สัปดาห์ (ซิยารัตอาชูรอเชื่อถือได้ โดยมีสายรายงานมาจากท่านอิมามบากิร (อ.) และอิมามซอดิก (อ.) ซึ่งระบุว่าซิยารัตนี้มีมรรคผลทั้งโลกนี้และโลกหน้าอย่างมากมาย) ท่านซัยยิดกล่าวว่า ฉันตั้งเจตนารมณ์เพียงแค่ขอให้ได้ซิยารัตอิมามซะมานเท่านั้นเพียงพอแล้ว และในวันศุกร์หนึ่งฉันมีความรู้สึกว่า ฉันมีความปลื้มใจเป็นพิเศษฉันได้ลุกขึ้นเมื่ออ่านซิยารัตจบแล้ว ได้เดินออกจากมัสญิด ฉันได้กลิ่นหอมจากบ้านหลังหนึ่งซึ่งผ่านไปใกล้ๆ มัสญิด แล้วฉันได้เห็นประกายแสงส่องผ่านออกมา ประชาชนต่างเดินผ่านแสงนั้นไปโดยไม่มีใครสนใจ แต่ว่าแสงนั้นได้ดึงดูดใจฉันมาก ฉันได้เดินเข้าไปใกล้ๆ เห็นว่าประตูเปิดอยู่ แล้วฉันพูดกับตัวเองว่า เขาอนุญาตให้เราเข้าไปหรือไม่ เมื่อฉันเดินเข้าไปก็พบว่ามีศพวางอยู่บนพื้น และมีผ้าคลุมไว้เหนือศพ แล้วฉันเห็นชายคนหนึ่งทีมีใบหน้าสดใสเรืองรองมาก ใบหน้าของเขาเป็นไปตามรายงานที่กล่าวไว้ นั่งอยู่ข้างๆ ศพนั้น ฉันได้ให้สลามเขา และเข้าใจได้ทันที่ว่านั่นคือ ท่านอิมามซะมาน  ฮุจญฺติบนิลฮะซัน (อ.) เรื่องราวดังกล่าวเกิดกับฉันขณะที่ฉันตื่นและมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ท่านมัรฮูม เนฮอวันดี และเจ้าของหนังสือ อันนัจญฺมุนษากิบ ได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้มากมาย ซึ่งทั้งหมดได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง ซัยยิดบากิร กล่าวว่า ฉันเห็นว่าท่านอิมามซะมาน (อ.) นั่งอยู่ใกล้ๆ กับมัยยิต แล้วกล่าวว่า มุฮัมมัดบากิร ตามหาฉันหรือ ฉันนั่งอยู่นี่ แล้วฉันได้ถามท่านว่า โอ้ เมาลาของฉัน ท่านมานั่งอยู่ใกล้ๆ มัยยิตตรงนี้ได้อย่างไร ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า หญิงผู้นี้ได้เสียชีวิตแล้ว และฉันต้องการเข้าร่วมพิธีฝังศพของนาง ฉันถามว่า แล้วนางเป็นใครหรือ นางเป็นหนึ่งในหมู่มิตรของอัลลอฮฺหรือ ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า นางเป็นหนึ่งในหญิงที่ต่อสู้เรื่องฮิญาบ แล้วถูกผู้อธรรมเปลื้องฮิญาบ และถ้านางออกจากบ้านนางจะต้องไม่คุมฮิญาบ นางจึงไม่ออกจากบ้านนานถึง 7 ปี  ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงมานั่งอยู่ข้างๆ ศพของนาง ความบริสุทธิ์ของศาสดามูซา ท่านมัรฮูม อะลี บิน อิบรอฮีม กุมมี กล่าวไว้ในตัฟซีรของท่านว่า เมื่ออิบนุอิมรอน เห็นว่าบุตรสาวของชุอัยบฺ ได้เดินออกหน้าท่านไป แล้วลมได้พัดจนเสื้อผ้าของนางถลกขึ้น เขาจึงกล่าวว่า ท่านจงเดินตามหลังฉันเถิด พวกนางกล่าวว่า ท่านไม่รู้จักทาง เขากล่าวว่า ให้ฉันเดินข้างหน้าเถิด ถ้าเห็นว่าฉันเดินหลงทาง ก็ให้โยนหินมาแล้วฉันจะหาทางเอง ชัยฏอน ได้พูดกับศาสดายะฮฺยา (อ.) ว่า มีอาวุธที่แหลมคมมากสองชนิดเป็นตัวช่วยส่งเสริมแก่ฉัน หนึ่งในนั้นคือ ความโกรธ เพราะเมื่อมนุษย์โกรธและมีโมหะมาก เขาสามารถสังหารคนอื่นได้ หรือไม่ก็ด่าทอและประกอบกรรมชั่วอย่างอื่นได้อีก และอาวุธอีกอย่างหนึ่งของฉันคือ สตรีทั้งหลายที่สามารถแต่งงานกับพวกนางได้ ซึ่งทั้งสองนี้คืออาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของฉัน ดังนั้น เยาวชนคนหนุ่มสาวทั้งหลาย ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้น ศัตรูได้พยายามก่อสงครามด้วยการเบี่ยงเบนสังคม ให้ไปในหนทางที่ผิด โดยใช้สงครามการโป๊เปลือยของสตรีเป็นอาวุธลวงล่อ ขยายความลามกอนาจารให้เปิดกว้างออกไปในสังคม จนกระทั่งทุกวันนี้เราได้ประจักษ์แล้วว่า สังคมที่ไม่มีกลิ่นอายของศาสนานั้นเป็นเช่นไร [1] โรม 21 [2] วะซาอิลุชชีอะฮฺ เล่ม 20, หน้า 171, มะการิมุลอัคลาก หน้า 216 [3] นะฮฺญุลฟะซอฮะฮฺ หน้า 472 [4] อัลกาฟียฺ เล่ม 4, หน้า 12, วะซาอิลุชชีอะฮฺ เล่ม 20, หน้า 171, มันลายะฮฺเฎาะเราะฮูลฟะกีฮฺ เล่ม 2, หน้า 68. [5] ยูซุฟ  24 [6] มัรยัม 18 [7] ซัยยิด ฮุซัยนฺ เชคคุลอิสลาม, วะซอยิฟเฟะมอ หน้า 241