ความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า

-บทนำ -เหตุผลที่ยืนยันถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า บทนำ ในบทก่อนหน้านี้ได้กล่าวและพิสูจน์ถึงความจำเป็นในการมีอยู่ของพระเจ้า ผู้ทรงรังสรรค์โลกไปแล้วว่า พระองค์ทรงรอบรู้ ทรงปรีชาญาณ ทรงสามารถ พระองค์ทรงเป็นผู้รังสรรค์ และทรงบริบาลโลก เช่นกันในบทก่อนหน้านี้ได้อธิบายและวิเคราะห์ถึงโลกทัศน์แห่งวัตถุ พร้อมกับทักท้วงและอธิบายรายละเอียดของข้อทักท้วงเหล่านั้น และประเภทของโลกทัศน์ไปแล้ว ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าโลกทัศน์ที่ปราศจากพระเจ้าเป็นสมมุติฐานที่ไม่ฉลาดเลยแม้แต่นิดเดียว และไม่มีเหตุประกอบคำกล่าวอ้างที่สมเหตุสมผลแต่อย่างใด บัดนี้ ถึงเวลาที่ต้องอธิบายปัญหาเกี่ยวกับพระเจ้าองค์เดียวให้กระจ่าง เพื่อที่ว่าแนวคิดของบรรดาพวกที่ตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้าจะได้ชัดเจนขึ้นว่าไม่ถูกต้อง อันดับแรกสิ่งที่ต้องกล่าวถึงคือ ความเชื่อในเรื่องการตั้งภาคีเทียบเคียงเกิดขึ้นได้อย่างไรในสังคมมนุษย์ และมีขั้นตอนการพัฒนาการอย่างไร ทัศนะต่างๆ ของนักสังคมวิทยาที่ได้แสดงไว้เกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าว ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วไม่มีแนวทางใดมีเหตุผลชัดเจนที่เพียงพอต่อความเชื่อถือ บางที่สามารถกล่าวได้ว่าปัจจัยแรกที่โน้มนำมนุษย์ไปสู่การตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้า หรือการบูชาพระเจ้าหลายองค์อาจมาจากปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมายทั้งในฟากฟ้าและแผ่นดิน ซึ่งก่อให้เกิดความคิดต่างๆ ว่าปรากฏการณ์ทั้งหลายแหล่เหล่านั้นล้วนอยู่ภายใต้ควบคุมดูแลของพระเจ้าแต่ละองค์ เช่น บางคนคิดว่าความดีงามนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้าแห่งความดี ส่วนความชั่วร้ายก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้าที่ชั่วร้าย ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเชื่อว่าผู้กำเนิดนั้นต้องมีสององค์แน่นอน อีกด้านหนึ่งพวกเขามองเห็นผลสะท้อนของแสงตะวัน แสงเดือน และแสงดาวที่ปรากฏบนพื้นโลก พวกเขาจึงคิดว่าผู้ก่อให้เกิดแสงเหล่านั้นคือผู้บริหารประเภทหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับสรรพสิ่งที่มีอยู่บนหน้าพื้นพิภพ อีกด้านหนึ่งเนื่องจากว่าความต้องการที่จะมีสิ่งสักการบูชาที่สามารถสัมผัสได้ อันเป็นสาเหตุทำให้มีการสร้างพระเจ้าจอมปลอมขึ้นมา เพื่อสักการทั้งการปั้นรูปปั้นเป็นรูปร่างต่างๆ หรือรูปร่างจำลอง หรือสัญลักษณ์เท่าที่สามารถคิดค้นขึ้นมาได้ตลอดจนการแกะสลักรูปลักษณ์ต่างๆ หลังจากนั้นก็บูชาสิ่งที่ตนประดิษฐ์ขึ้นมา ต่อมารูปปั้นเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สำหรับกลุ่มชนที่ไม่มีความคิดอ่านขึ้นมาทันที มิหนำซ้ำยังได้กลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจสำหรับพวกเขา จวบจนปัจจุบันทุกเชื้อชาติและทุกเผ่าพันธุ์ที่เคารพรูปปั้นบูชา มีความคิดในการกำหนดความเชื่อทางศาสนาของตนโดยวางอยู่บนพื้นฐานของการจินตนาการ เพียงเพื่อต้องการที่จะออกห่างจากการถวิลหาพระเจ้าอันเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของตน อีกด้านหนึ่งพวกเขาได้เพิ่มสีสันและปล่อยให้อำนาจฝ่ายต่ำของตนกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมานี่แทนที่ โดยบรรจุอำนาจเหล่านั้นไว้ในกรอบของพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งปัจจุบันในหมู่พวกเคารพรูปปั้นบูชาก็ยังมีการประกอบพิธีกรรมเหล่านั้นควบคู่กันไป เช่น พิธีการเต้นสังเวย เชือดสังเวย หรือการร่วมหลับนอนเพื่อสังเวยเป็นต้น นอกจากนี้แล้วพวกเขายังมีอุดมการณ์ที่เห็นแก่ตัว การถือตนเป็นใหญ่ที่วิเศษกว่าชนชาติอื่น ถือว่าตนมีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าคนอื่นตลอดจนการบีบบังคับและการกดขี่ข่มเหงชนชาติอื่น สิ่งเหล่านี้กลายเป็นการใช้อำนาจเถื่อนไปในทางที่ไม่ดีโดยอาศัยความคิดและความเชื่อลมๆ แล้งๆ ของประชาชน และเพื่อขยายอำนาจของตนพวกเขาจึงนำเสนอความคิดในการตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้า โดยเน้นว่าเป็นแนวคิดที่ดีที่สุดพร้อมกับยกย่องตัวเองว่าเป็นหนึ่งในพระเจ้า และถือว่าการเคารพบูชาผู้อธรรม (ฏอฆูต) เป็นหนึ่งในพิธีกรรมทางศาสนา ดังเป็นที่ชัดเจนว่าแนวความคิดเหล่านี้ ประจักษ์อยู่ในหมู่ผู้ปกครองของประเทศจีน อินเดีย อิหร่านในอดีต และอียิปต์ อย่างไรก็ตามศาสนาที่เคารพรูปปั้นบูชาและการตั้งภาคีเทียบเคียง อยู่ภายใต้อิทธิพลของสาเหตุและปัจจัยต่างๆ มากมายในหมู่ประชาชาติ และเป็นอุปสรรคขวางกั้นความสมบูรณ์ และความเจริญของกลุ่มชนที่เคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียว ด้วยสาเหตุนี้เอง ภารกิจส่วนใหญ่ที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ได้ประกอบไว้คือการต่อสู้กับผู้อธรรมและการเคารพรูปปั้นบูชาของพวกที่ตั้งภาคีเทียบเคียงทั้งหลาย ดังที่เรื่องราวการต่อสู้ของท่านปรากฏอยู่ในอัล-กุรอานหลายตอนด้วยกัน ดังนั้น พื้นฐานความศรัทธาของพวกตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้า คือ ศรัทธาต่อพระเจ้าที่มีอยู่ที่นอกเหนือไปจากอัลลอฮฺ (ซบ.) โดยที่พระเจ้าเหล่านั้นประกอบด้วยปรากฏการณ์ทั้งหลายทางธรรมชาติ แม้กระทั่งส่วนมากของบรรดาพวกตั้งภาคีเทียบเคียงยังเชื่อในพระเจ้าสร้างโลกก็ตาม ซึ่งในความเป็นจริงก็คือการยอมรับความเป็นหนึ่งเดียวในการสร้าง แต่ในส่วนที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยลงไปพวกเขากับเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ ตามความเชื่อของพวกเขานั้นเชื่อว่าพระเจ้าแต่ละองค์เหล่านั้นมีหน้าที่ในการบริหารโลกและจักรวาลอย่างอิสระโดยตรง ส่วนพระเจ้าผู้สร้างโลกก็คือบรรดาพระเจ้าทั้งหลายหรือที่เรียกว่า ร็อบบุลอัรบาบ นั่นเอง บางคนคิดว่าเทพเจ้าทั้งหลายนั้นคือ มวลมลาอิกะฮฺ (เทพทั้งปวง) ซึ่งอาหรับผู้ตั้งภาคีเทียบเคียงสมัยก่อนเชื่อว่ามวลมลาอิกะฮฺเหล่านั้นเป็นบุตรีของพระเจ้าอีกที่หนึ่ง บางคนคิดว่าเทพเจ้าคือบรรดาญินทั้งหลาย บางคนคิดว่าเป็นดวงวิญญาณของหมู่ดวงดาว หรือเป็นดวงวิญญาณของมนุษย์ที่ล่วงลับไปก่อนหน้านั้น หรือเป็นการมีอยู่อันเฉพาะพิเศษที่สายตาไม่อาจมองเห็นได้ บทที่ผ่านมา (บทที่ 10) กล่าวไปแล้วว่าพระผู้สร้างและพระผู้ทรงบริบาลที่แท้จริงไม่อาจแยกออกจากกันได้ ดังนั้น ความเชื่อที่มีต่อพระเจ้าผู้ทรงรังสรรค์โลก กับความเชื่อที่มีต่อพระผู้อภิบาลหลายองค์จึงไม่เข้ากัน ซึ่งบรรดาผู้ที่มีความเชื่อบกพร่องเช่นนี้ไม่ได้ใส่ใจในความเชื่อของตน ฉะนั้น ถ้าต้องการทำลายเชื่อของพวกเขาเพียงพอแล้วที่จะกล่าวถึงความขัดแย้งที่มีอยู่ในพวกเขา สำหรับการพิสูจน์การมีอยู่จริงของพระเจ้าองค์เดียวมีเหตุผลมากมายที่หยิบยกขึ้นมาอธิบาย ซึ่งบันทึกอยู่ในตำราต่างๆ ทั้งเทววิทยาและปรัชญา แต่ในที่นี้จะหยิบยกเหตุผลโดยตรงที่กล่าวถึงพระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นเอกเทศในการบริหาร และหักล้างความเชื่อของบรรดาผู้ตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้า เหตุผลที่ยืนยันถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า สมมุติว่าโลกนี้มีพระเจ้า 2 องค์ หรือมากกว่านั้นสภาพที่เป็นไปได้ตามสมมุติฐานดังกล่าว คือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทั้งหมดเป็นสิ่งถูกสร้างและเป็นผลของทั้งหมด หรือปรากฏการณ์ทั้งหมดเหล่านั้นเป็นผลที่เกิดจากพระเจ้าทั้งหลายที่สมมุติขึ้น หรือทั้งหมดเป็นสิ่งถูกสร้างให้เกิดขึ้นมาจากพระเจ้าองค์เดียว ส่วนพระเจ้าองค์อื่นอยู่ในฐานะของผู้ดูแลโลกและจักรวาลให้ดำเนินไป แต่สมมุติฐานที่ว่าทุกปรากฏการณ์นั้นมีพระเจ้าแต่ละองค์เป็นผู้สร้าง เป็นสมมุติฐานที่ไม่อาจเป็นไปได้เนื่องจากคำว่าสองหรือผู้สร้างโลกหลายองค์ (=ผู้สร้าง) ได้สร้างสรรพสิ่งขึ้นมาซึ่งแต่ประเภทเหล่านั้นเป็นการมีอยู่ที่เพิ่มขึ้น กล่าวในเชิงสรุปก็คือมีหลายสรรพสิ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่ทุกการมีอยู่มีเพียงสิ่งเดียวมิเช่นนั้นจะไม่ถือว่าเป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียว ส่วนสมมุติฐานที่ว่าพระเจ้าเหล่านั้นสร้างสิ่งถูกสร้างขึ้นมาเพียงอย่างเดียว หรือสร้างขึ้นมาเป็นกลุ่มเฉพาะเจาะจงจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย ผลที่จะตามมาก็คือทุกสรรพสิ่งถูกสร้างจะยึดอยู่กับผู้สร้างตนโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่น ยกเว้นการอาศัยที่ในบั้นปลายซึ่งจะสิ้นสุดที่ผู้สร้างตน และการอาศัยเหล่านี้ต้องการเฉพาะผู้สร้างซึ่งเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านั้นเท่านั้น อีกนัยหนึ่งสมมุติฐานที่ว่าโลกมีพระเจ้าหลายองค์ และระบบระเบียบต่างๆ อันหลากหลายของโลกเกิดขึ้นมาจากอีกสิ่งหนึ่ง ขณะที่โลกมีระบบระเบียบอยู่เพียงอย่างเดียวทุกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันเกี่ยวข้องมีความสัมพันธ์มีผลและมีความต้องการต่อกันและกัน เช่นกันปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตกับปัจจุบัน และระหว่างปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันกับในอนาคตนั้นก็มีความสัมพันธ์กันด้วย ซึ่งทุกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตล้วนเป็นพื้นฐานสำหรับการเกิดปรากฏการณ์ในอนาคต ดังนั้น จะเห็นว่าโลกซึ่งมีองค์ประกอบปลีกย่อยที่สัมพันธ์และเกี่ยวข้องกันทั้งหมด มีระบบเป็นหนึ่งเดียวคอยควบคุมดูแลอยู่ จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่าโลกเป็นผลของพระเจ้าหลายองค์ที่ทรงสร้างขึ้นมา ถ้าสมมุติว่าผู้สร้างทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้มีเพียงหนึ่งเดียว ส่วนพระเจ้าองค์อื่นมีหน้าที่บริหารโลกและจักรวาล สมมุติฐานเช่นนี้ไม่ถูกต้องเช่นกัน เนื่องจากผลของทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ล้วนขึ้นอยู่กับสิ่งที่สร้างตนขึ้นมา ไม่มีสรรพสิ่งที่เป็นอิสระสิ่งใดสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นได้ ยกเว้นผลสะท้อนของสิ่งถูกสร้างที่เกิดจากผู้สร้างเดียวกัน และทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของอำนาจของผู้สร้าง โดยพระเจ้าเหล่านั้นกระทำไปตามคำอนุญาตของพระผู้สร้าง ในกรณีนี้จะเห็นว่าไม่มีสิ่งใดจากสรรพสิ่งเหล่านั้นเป็นผู้อภิบาลที่แท้จริง เนื่องจากแก่นแท้ของพระผู้อภิบาลก็คือ ผู้ทรงอภิสิทธิ์และมีความอิสระในการบริหารของพระองค์ ขณะที่สมมุติฐานของเราคือ การใช้ประโยชน์จากผลเหล่านั้นไม่มีความอิสระ เนื่องจากทั้งหมดอยู่ภายใต้อำนาจของพระผู้อภิบาลผู้ทรงรังสรรค์  การกระทำของพวกเขาได้ดำเนินไปตามพลังที่พระองค์ทรงประทานให้ ซึ่งสมมุติฐานเกี่ยวกับพระเจ้าเหล่านี้กับความเป็นเอกภาพของพระเจ้าไม่ขัดแย้งกัน เนื่องจากผู้สร้างที่กระทำตามคำอนุญาตของพระเจ้าไม่ขัดแย้งกับความเป็นเอกเทศในการบริหารแต่อย่างใด อัล-กุรอาน และรายงานจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวยืนยันว่า การมีอยู่ของสิ่งถูกสร้างบางประการและการบริหารที่ไม่เป็นอิสระได้ถูกพิสูจน์แล้วสำหรับบ่าวบางคนของพระองค์ ดังเช่นเรื่องราวของท่านศาสดาอีซา (เยซู) ที่กล่าวว่า จงรำลึกถึงเมื่ออัลลอฮ ตรัสแก่อีซาบุตรของมัรยัมว่า จงรำลึกถึงความโปรดปรานของข้าที่มีต่อเจ้า และมารดาของเจ้า ข้าสนับสนุนเจ้าด้วยวิญญาณอันบริสุทธิ์โดยที่เจ้าพูดกับประชาชนขณะที่อยู่ในเปล และอยู่ในวัยกลางคน และขณะที่ข้าสอนคัมภีร์และความมุ่งหมายแห่งบัญญัติศาสนา อัต-เตารอตและอัล-อิน-ญีลแก่เจ้า และเจ้าได้สร้างรูปนขึ้นจากดินด้วยอนุมัติของข้า หลังจากนั้นเจ้าเป่าเข้าไปในรูปนกแล้วมันก็กลายเป็นนกโดยอนุมัติของข้า  (อัล-กุรอาน บทอัลมาอิดะฮฺ โองการที่ 110) สรุปสิ่งที่กล่าวมา การตั้งสมมุติฐานว่าโลกมีพระเจ้าหลายองค์นั้น เกิดมาจากการเปรียบเทียบระหว่างพระเจ้ากับสาเหตุทางวัตถุและจำนวน ซึ่งจำนวนของสิ่งเหล่านั้นสำหรับผลที่เป็นหนึ่งเดียวแล้วถือว่าไม่เป็นไร ขณะที่เราไม่สามารถนำเอาพระผู้สร้างมาเปรียบเทียบกับผู้สร้างคนอื่นๆ ได้ และในทำนองเดียวกันไม่มีสิ่งถูกสร้างใดสามารถมีผู้สร้างหรือมีผู้บริหารอิสระหลายองค์ได้ ด้วยเหตุนี้ สำหรับการขจัดความสงสัยดังกล่าวด้านหนึ่งจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจกับพระผู้สร้าง และคุณลักษณะพิเศษของผู้สร้างประเภทนี้ เพื่อจะได้รู้ว่าผู้สร้างหลายองค์สำหรับผลที่เป็นหนึ่งเดียวเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อีกด้านหนึ่งต้องพิจารณาคือความสมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียวกันของโลก เพื่อจะได้รู้ว่าระบบของโลกที่มีความสัมพันธ์กันเช่นนี้ไม่สามารถมีผู้สร้างหลายองค์ได้ หรืออยู่ภายใต้การบริหารดูแลของผู้บริหารที่เป็นอิสระหลายองค์ได้ แน่นอน เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าการยืนหยัดในอำนาจอธิปไตยแห่งการสร้างสรรค์ สำหรับปวงบ่าวที่ดีงามของพระเจ้าบางท่านที่ไม่มีความอิสระในการสร้างหรือการบริหาร ไม่ขัดแย้งกับความเป็นเอกะของพระเจ้า ดังเช่นอำนาจการกำหนดบทบัญญัติของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ไม่ขัดแย้งกับอำนาจบริหารในการวางบทบัญญัติของพระเจ้า เนื่องจากอำนาจกำหนดของท่านศาสดาได้รับอนุญาตจากพระเจ้านั่นเอง